BEMดีดบวก2%จ่อรับชดเชยค่าโง่ทางด่วนทบต้นทบดอก5.2พันลบ. ลุ้นกทพ.เจรจาแปลงหนี้แลกสัมปทาน
BEM ดีดบวก 2% จ่อรับชดเชยค่าโง่ทางด่วนทบต้นทบดอก 5.2 พันลบ. ลุ้นกทพ.เจรจาแปลงหนี้แลกสัมปทาน ล่าสุด ณ เวลา 10.13 น. อยู่ที่ระดับ 8.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.15 บาท หรือ 1.74% สูงสุดที่ระดับ 8.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.65 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 341.95 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ล่าสุด ณ เวลา 10.13 น. อยู่ที่ระดับ 8.75 บาท ปรับตัวขึ้น 0.15 บาท หรือ 1.74% สูงสุดที่ระดับ 8.80 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 8.65 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 341.95 ล้านบาท
โดยเมื่อวันที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ชำระเงินแก่ NECL เป็นบริษัทย่อยของ BEM โดยจ่ายเงินค่าชดเชยรายได้ที่ลดลงแก่ NECL สำหรับปี 2542 จำนวน 780.80 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา และสำหรับปี 2543 จำนวน 1,059.20 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดในสัญญา รวมจำนวนกว่า 1,840 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
ทั้งนี้ แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ในส่วนของเงินจำนวน 780.80 ล้านบาท จะคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 4% คิดเป็นแบบรายวัน และเงินจำนวน 1,059.20 ล้านบาท จะใช้อัตราดอกเบี้ย 6% คิดเป็นแบบรายวันเช่นกัน และจากการคำนวณดอกเบี้ยทั้ง 2 ส่วนดังกล่าว พบว่า กทพ.จะต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 3,360 ล้านบาท และเมื่อนำมารวมกับเงินต้น 1,840 ล้านบาท เท่ากับว่าเงินที่การทางพิเศษฯ จะต้องจ่ายให้ BEM อยู่ที่ประมาณ 5,200 ล้านบาท ซึ่งขั้นต่อไปทางตัวแทนของ BEM และ กทพ. จะต้องนัดหารือกันว่า กทพ.จะต้องจ่ายเงินตามคำพิพากษาของศาลให้กับ BEM อย่างไร
อย่างไรก็ดี การที่หน่วยงานภาครัฐต้องมาจ่ายเงินตามคำสั่งศาลให้กับเอกชนนั้นไม่ค่อยจะเกิดขึ้น เพราะผู้บริหารหน่วยงานรัฐอาจจะถูกลงโทษได้ ดังนั้น แนวทางออก จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะเจรจาแล้ว กทพ.เสนอผลประโยชน์ในรูปแบบอื่นแทนค่าปรับตามที่ตกลงกัน เช่น การได้สิทธิพิเศษการประมูลในโครงการสัมปทานต่าง ๆ หรือการต่ออายุสัมปทานเดิมออกไปอีก
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า หากสุดท้ายแล้ว BEM ได้รับชำระค่าเสียหายตามที่เรียกร้องจริง 1,790–3,297 ล้านบาท (จำนวนตามหมายเหตุประกอบงบฯ ที่คณะอนุญาโตฯ มีคำชี้ขาด และจำนวนที่บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง) จะคิดเป็นมูลค่าต่อหุ้นที่ 0.12–0.22 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัพไซด์ราว 1.5–2.9% ของราคาเป้าหมายปี 2562 ของฝ่ายวิเคราะห์
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์ได้สอบถามไปทางบริษัทถึงขั้นตอนที่เกี่ยวข้องลำดับถัดไป แต่บริษัทยังไม่สามารถชี้แจงข้อมูลที่ชัดเจนในส่วนของการได้รับชำระเงินจำนวนที่แน่นอน หรือมีขั้นตอนใดอีกหรือไม่ โดยหากไม่มีขั้นตอนเพิ่มเติมฝ่ายวิเคราะห์คาดการบันทึกค่าชดเชยจะอยู่ในช่วงงบไตรมาส 4/2561 แต่หากมีขั้นตอนอีกอาจมีแรงกดดันจากความผิดหวังของตลาด
ดังนั้น คงคำแนะนำ “Neutral” ที่ราคาเป้าหมายปี 2562 ระดับ 7.90 บาท และคงคำแนะนำผู้มีหุ้นสามารถ “let profit run” เพื่อรอรับอัพไซด์ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการอีก 8.10 บาท/หุ้นได้ คือ การได้ต่อสัมปทานทางพิเศษ และได้รับสัมปทานสายสีส้ม และสีม่วงใต้เพิ่ม โดยคาดคืบหน้าของโครงการข้างต้นจะอยู่ในช่วงไตรมาส 4/2561-ไตรมาส 1/2562