สังคมข่าวหุ้น
* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,749.93 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.94 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 4.8 หมื่นล้านบาท
นิวส์เวฟ
* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,749.93 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.94 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 4.8 หมื่นล้านบาท
* ขาเข้าซื้อสุทธิทางรายย่อยเดินหน้าเข้าเก็บไป 586 ล้านบาท ตามด้วยต่างชาติ 82 ล้านบาท ส่วนขาเทขายสุทธิ สถาบันสาดออกไป 629 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 39 ล้านบาท เรียกได้ว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติไม่ได้อยู่ในภาวะหวือหวา ทำให้หุ้นหลายตัวเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอิงตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ใช่วิ่งบวกแรงตามเซนติเมนต์ตลาดเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อน
* หุ้น AOT เดินมาทางถึงจุดที่คลายปมความสงสัยกันเสียทีว่า เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต (เมื่อต้นเดือน ก.ค.) นั้นมีเอฟเฟกต์เชิงลบต่อปริมาณผู้โดยสารมากหรือน้อยเพียงใด เมื่อวานหุ้น AOT เปิดการซื้อขายในแดนลบด้วยราคา 66.25 บาท จากนั้นราคายังทยอยลงต่อเนื่องและเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะช่วงภาคบ่ายถอยลงหนักจนหุ้นลดลงไปกว่า 2% หากเป็นหุ้นอื่นคงไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไร แต่สำหรับ AOT นี่คือหุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 9 แสนล้านบาท ดังนั้น การถอยลงเกิน 2% จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาและมีผลต่อตลาดหุ้นไทยไม่น้อย
* โดยต้นเหตุที่ทำให้ช่วงบ่าย AOT ถอยลงลึก เนื่องจากภาพรวมตลาดเริ่มรับรู้ถึงข้อมูลตัวเลขปริมาณผู้โดยสารงวดเดือน ส.ค. 2561 ซึ่งมีการอัปเดตข้อมูลและแจ้งผ่านทางเว็บไซต์บริษัทอย่างเป็นทางการแล้วว่าเดือน ส.ค. มีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 11.72 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.88% จากช่วงปีก่อน แม้จะยังโตแต่ถือเป็นการโตแบบชะลอตัวลงไปมากเมื่อเทียบกับงวด มิ.ย. ซึ่งมีฐานผู้โดยสาร 10.67 ล้านคน โตขึ้น 8.61% จากปีก่อน และงวดเดือน ก.ค. ที่มียอดรวม 11.68 ล้านคน โตขึ้น 4.47% จากช่วงปีก่อน
* งานนี้ ต้องยอมรับกันจริง ๆ ได้แล้วว่า เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตนั้นมีเอฟเฟกต์มากเอาเรื่อง และยังสอดคล้องกับตัวเลขที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยช่วงที่ผ่านมาว่า ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยนั้นได้ชะลอตัวไปตั้งแต่งวดเดือน ก.ค. มียอดรวม 9.29 แสนคน ลดลง 0.87% จากปีก่อน และเดือน ส.ค. ลดลงเหลือ 8.67 แสนคน ดิ่งแรงถึง 11.77% จากปีก่อน เมื่อข้อมูลทุกอย่างปรากฏ จึงเกิดแรงขายหุ้น AOT ออกมาจำนวนมากพร้อมกับกดดันให้ราคาหุ้นอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน สุดท้ายทำราคาปิดลบ 65 บาท ลดลงกว่า 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมหาศาลถึง 3,310 ล้านบาท และคิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 7% เมื่อเทียบภาพรวมมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาดหุ้นไทย (ในเมื่อวาน)
* คำถามที่นักลงทุนอยากรู้มากที่สุดตอนนี้ก็คือ แล้วจะเอายังไงต่อกับหุ้น AOT กันดี ? งั้นเรามาลองดูข้อเท็จจริงที่มองเห็นตอนนี้กันดีกว่า เริ่มจากหนึ่ง แม้ตัวเลขเดือน ส.ค.จะโตแบบชะลอตัวลงไปมาก แต่ฐานตัวเลขรวมยังคงโตกว่าปีก่อน (ใช่หรือไม่) จึงสะท้อนให้เห็นว่า แม้ยอดคนจีนจะลดลงแต่นักท่องเที่ยวจากที่อื่นยังคงเดินทางมาไทยเหมือนเช่นเดิม
* สอง ข้อเท็จจริงได้ปรากฏขึ้นแล้ว ถ้าหากสิ่งที่น่ากลัวมากสุดของตลาดหุ้นคือความไม่ชัดเจน ทุกอย่างอยู่บนการคาดเดาและไม่รู้จุดแย่สุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน แต่ในเมื่อมีตัวเลขประกาศออกมาเป็นทางการ (ไม่ใช่ข้อมูลลับและทุกคนเข้าถึงได้) แน่นอนอาจจะต่ำกว่าที่บางฝ่ายคาดไว้บ้าง แต่ในทางตรงกันข้ามก็อาจอยู่ในจุดที่บางฝ่ายประเมินไว้หรือดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำไป (เพราะเคยมองเลวร้ายกว่านี้) ทำให้ภาพรวมตลาดไม่ได้พร้อมใจมองเชิงลบไปทั้งหมดเหมือนตอนหุ้นดิ่งแรงเหลือแค่ 60 บาท
* สามยังดีที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 (ตามงบ AOT) ซึ่งตามปกติแล้วส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักตัวเลขอิงที่งบปีเป็นหลักมากกว่าการดูแบบไตรมาส ส่งผลให้ทางจิตวิทยาแล้วตัวเลขฐานผู้โดยสารไม่ได้ออกมาดูแย่ โดยยอดสะสม 11 เดือนแรก ทำไปได้ถึง 129 ล้านคน โตขึ้น 8.6% จากปีก่อน นี่ยังเหลือให้ลุ้นเดือนสุดท้ายคืองวดเดือน ก.ย. ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดขั้นต่ำภาพรวมทั้งปีน่าจะยืนพื้นที่ 130 ล้านคน จากนั้นจะเข้าสู่การเริ่มต้นงบใหม่ประจำรอบปี 62 (ต.ค.61-ก.ย.62) ซึ่งไตรมาสแรกที่เปิดฉากก็เข้าไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวพอดี ต่อให้นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา แต่ก็จะได้ฐานลูกค้าชาติอื่นที่เร่งสปีดขึ้นมาทดแทนและส่งผลให้ฐานผู้โดยสารมากขึ้นตามลำดับ
* ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดที่เขียนกันมานี้ถือเป็น “วิกฤติหรือโอกาส” ขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนเหมือนกันว่า ได้ถือหุ้น AOT หรือกำลังคิดหยิบหุ้นตัวนี้มาใส่พอร์ตด้วยมุมมองหรือกลยุทธ์แบบใด ถ้าเป็นสายเล่นสั้นเก็งกำไร แน่นอนราคาตอนนี้ยังคงแฮงก์กับประเด็นนี้อยู่ (อีกสักพัก) แต่ถ้าสายลงทุนระยะยาว AOT ยังคงเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม เหมือนเดิม และไทยยังคงเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติเลือกมาพักผ่อนอันดับต้น ๆ เสมอ แล้วในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมาก็เคยผ่านเหตุการณ์กดดันมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะปัญหาการเมืองหรือภัยธรรมชาติ แต่พอสถานการณ์คลี่คลายทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติจะมีโอกาสโตขึ้นยิ่งกว่าเดิม จึงอยู่ที่ตัวนักลงทุนแล้วว่า กำลังเลือกมอง AOT ในขณะนี้แบบใดระหว่าง “วิกฤติหรือโอกาส”