SCC สเปรดปิโตรฯหด หลังราคาน้ำมันพุ่ง โบรกฯคาดสิ้นปีแตะ 90 ดอลล์ฯ/บาร์เรล

SCC สเปรดปิโตรฯหด หลังราคาน้ำมันพุ่ง โบรกฯคาดสิ้นปีแตะ 90 ดอลล์ฯ/บาร์เรล


นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเคมิคอลส์ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า แนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ HDPE และ PP กับแนฟทา จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนเล็กน้อย เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติกที่ปรับตัวลดลง จากความกังวลผลกระทบสงครามการค้าระหว่างจีนและประเทศสหรัฐฯ

ขณะที่ปัจจุบันส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PP และ HDPE อยู่ที่ราว 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับ 700 เหรียญสหรัฐต่อตัน หลังได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นปีกว่า 10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดการณ์ว่าราคาน้ำมัน ณ สิ้นปี จะอยู่ที่ 74-75 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงเพิ่มมากขึ้น (HVA) โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ราว 31% บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ดังกล่าวขึ้น 1-2% ต่อปี

แม้ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะปรับตัวลดลง แต่บริษัทได้มีการปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย ประกอบกับเน้นการขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ยต่อปี 1-2% และยังได้มองหาวิธีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย”นายชลณัฐ กล่าว

นอกจากนี้ นายชลณัฐ กล่าวเพิ่มเติมถึงการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ หรือ Floating Solar Farm บนพื้นสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในโครงการทดลองภายใน เอสซีจี เคมิคอลส์ จ.ระยอง ซึ่งปัจจุบันมีผู้สนใจเข้ามาเจรจาเพื่อที่จะลงทุนในรูปแบบเดียวกัน ทั้งในภาคเอกชน และภาครัฐบาล อาทิ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้ความสนใจและต้องการที่จะลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ ในพื้นที่เขื่อนต่างๆเพื่อที่จะบริหารจัดการด้านพลังงานทดแทนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยประเทศไทยประเมินว่ามีพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำอยู่ราว 6% หรือ 3,000 เมกะวัตต์

“ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการพัฒนาโครงการเพื่อให้สามารถขยายได้จริง และในพื้นที่ที่มีความแตกต่างไปจากในโครงการทดลอง ซึ่งในอนาคตเราก็หวังว่าจะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์และมีรายได้เข้ามายังบริษัท”นายชลณัฐ กล่าว

ขณะเดียวกัน บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้นกลุ่มพลังงานในประเทศไทย ในวันนี้ (4 ต.ค.) โดยทำแบบสำรวจความเห็นของนักลงทุนต่างชาติต่อหุ้นกลุ่มพลังงานในประเทศไทย ทั้งจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และฮ่องกง

โดยในความเห็นของนักลงทุนต่างประเทศ มองว่า หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นกลุ่มหลักที่มีโอกาสจะสามารถทำประโยชน์ได้สูงจากกระแสเงินที่ไหลเข้ามาโดยอิงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นไปแตะที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วง 6 เดือนนี้

อย่างไรก็ตาม บล.เครดิต สวิส มองว่าธุรกิจปิโตรเคมีนั้นจะมีรายได้ในไตรมาส 3/2561 ลดลงสืบเนื่องจากภาวะสงครามการค้าที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยลบทำให้ผู้ผลิตปิโตรเคมีประสบปัญหาราคาต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น

Back to top button