พาราสาวะถี
เป็นสูตรสำเร็จสำหรับเผด็จการที่อ้างข้อกฎหมายอยู่เป็นนิจ เพราะตัวเองไม่จำเป็นต้องรับผิดใด ๆ ในข้อกฎหมายอันเนื่องมาจากมีการนิรโทษกรรมให้กับทุกการกระทำทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไว้แล้ว และไม่แปลกสำหรับการที่จะปัดเรื่องอันเกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองให้เป็นเรื่องของกกต. เพื่อจะไม่ได้ถูกมองภาพว่ากรรมการที่เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้เล่น จะใช้อำนาจที่มีอยู่เอาเปรียบคู่แข่ง
อรชุน
เป็นสูตรสำเร็จสำหรับเผด็จการที่อ้างข้อกฎหมายอยู่เป็นนิจ เพราะตัวเองไม่จำเป็นต้องรับผิดใด ๆ ในข้อกฎหมายอันเนื่องมาจากมีการนิรโทษกรรมให้กับทุกการกระทำทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไว้แล้ว และไม่แปลกสำหรับการที่จะปัดเรื่องอันเกี่ยวเนื่องกับนักการเมืองและพรรคการเมืองให้เป็นเรื่องของกกต. เพื่อจะไม่ได้ถูกมองภาพว่ากรรมการที่เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้เล่น จะใช้อำนาจที่มีอยู่เอาเปรียบคู่แข่ง
แต่สิ่งสำคัญคือ ความน่าเชื่อถือของกกต. เพราะมองไปยังหน้าตาหากไม่นับรวมในส่วนที่มาจากการเลือกของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ถามว่า คนจะไว้ใจได้กี่มากน้อย ยิ่งล่าสุดมี 2-3 ประเด็นให้พูดถึงคือ การสอบเรื่องอดีตส.ส.และแกนนำพรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบ ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง อันจะนำมาซึ่งการตีความของกกต.ว่า พฤติกรรมดังกล่าวอยู่ในข่ายครอบงำพรรคจนนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่
ความเคลือบแคลงดังกล่าวส่วนใหญ่จะถูกเก็บไว้เป็นความสงสัยยังไม่ได้มีใครเรียกร้องหรือตำหนิใด ๆ ทว่า อิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.รีบออกมายืนยันความบริสุทธิ์ โปร่งใสของกกต.อย่างฉับพลันทันที โดยแจกแจงถึงการปรับเกณฑ์อนุมัติตั้งพรรคเร็วขึ้นจาก 90 วันเหลือ 45 วันอ้างยึดเท่าเทียมให้พรรคใหม่เข้าร่วมมากที่สุดไม่ได้เอื้อกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ในที่นี้ย่อมหมายถึงพรรคพลังประชารัฐนั่นเอง
พร้อม ๆ กับการอธิบายเรื่องการพิจารณาประเด็นยุบพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นเครื่องมือใคร ยืนยันทำทุกเรื่องตามหน้าที่ การรีบออกมาจะเข้าข่ายตุ๊กแกหรือเปล่าคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ โดยเฉพาะประเด็นยุบพรรคนายใหญ่ ที่ต้องอาศัยการตีความ คำถามตัวโตที่จะเกิดขึ้นคือ การบินไปพบทักษิณมีอะไรมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าครอบงำชี้นำกิจกรรมของพรรคดังว่า
ส่วนประเด็นเรื่องการย่นระยะเวลาตรวจสอบและรับรองการตั้งพรรคใหม่นั้น คงต้องยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะไม่ได้มีแค่พรรคการเมืองเดียวที่ได้รับสิทธิพิเศษด้านความรวดเร็ว อานิสงส์ดังกล่าวมันเผื่อแผ่ไปถึงพรรคการเมืองใหม่อื่น ๆ ด้วย ก็ถือว่าสมประโยชน์ร่วมกัน เพียงแต่ว่านี่ก็จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ในกระบวนการพิจารณา คราวต่อไปจะกลับไปใช้เงื่อนเวลาเดิมไม่ได้อีก และไม่ต้องหาเหตุผลใด ๆ มาอ้างทั้งสิ้น
ยังไม่จบแค่นั้น ปรากฏว่ามีเรื่องที่ทำให้หลายคนอดคิดตามไม่ได้นั่นก็คือ กรณีเจ้าหน้าที่กกต.ยกหูต่อสายตรงไปยังพรรคอนาคตใหม่ สั่งห้ามเปิดรับบริจาคเงินเข้าพรรค โดยอ้างถึงการขัดประกาศคสช.ที่ 57/2557 และหนังสือเวียนของกกต.ที่แจ้งให้พรรคการเมืองทราบว่าให้รับเงินบริจาคได้แค่จากกรรมการบริหารพรรค ในจำนวนเงินเท่าที่จำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย ซึ่งเป็นการบังคับใช้กับพรรคการเมืองเดิมแต่ก็ใช้กับพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่เช่นกัน
หลังจากได้รับโทรศัพท์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล หัวหน้าและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในทันที โดยปิยบุตรตั้งข้อสงสัยว่า หลังการรัฐประหาร 2557 คสช.ได้ออกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 57/2557 ห้ามพรรคการเมืองที่มีอยู่เดิมดำเนินการกิจกรรมทางการเมือง จากคำสั่งนี้กกต.ได้มีมติและวางเป็นแนวทางต่อมาว่า การห้ามการดำเนินกิจกรรมการเมืองของพรรคการเมืองให้รวมไปถึงการรับบริจาคเงินจากผู้สนับสนุนพรรคการเมืองด้วย
โดยกกต.ได้วางแนวทางไว้ว่าหากจะมีการรับบริจาค ให้รับได้เฉพาะจากกรรมการบริหารพรรค และจากกรรมการสาขาพรรคการเมืองเท่านั้น และจากกรณีนี้ได้มีเจ้าหน้าที่กกต. ติดต่อมายังทางพรรคอนาคตใหม่ว่า การระดมทุนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ในเวลานี้ ซึ่งกรณีนี้ทางพรรคเห็นว่าไม่มีฐานอำนาจอะไรที่กกต. จะมาห้ามไม่ให้มีการบริจาค และเสรีภาพที่ถูกจำกัดลงนี้ก็ไม่สมควรแก่เหตุ
เพราะเหตุผลของกกต.คือเรื่องของการรักษาความสงบเรียบร้อย ซึ่งการรับบริจาคเงินของพรรคการเมืองไม่ได้สร้างความกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อย ฉะนั้นยืนยันว่า การห้ามรับบริจาคมีปัญหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุนี้พรรคอนาคตใหม่จึงเรียกร้องไปยังสำนักงานกกต.ให้ออกคำสั่งมาให้ชัดเจนว่าห้ามพรรคอนาคตใหม่ระดมทุนจากการรับบริจาค
พรรคจะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป โดยอาจจะยื่นฟ้องเพื่อเพิกถอนคำสั่งของกกต.และขอให้กกต.มีมติทบทวนเรื่องการห้ามระดมทุน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า การสร้างพรรคการเมืองจำเป็นต้องมีงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม และด้วยระยะเวลาอันสั้นจะส่งผลให้พรรคการเมืองไม่สามารถทำงานได้ และจะทำให้พรรคการเมืองกลับไปอยู่ในวังวนเดิมคือ จะต้องหานายทุนไม่กี่คนมาบริจาคให้กับพรรค
สิ่งที่น่าสนใจคือในมุมของธนาธรที่บอกว่า การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งนี้ คาดว่าจำเป็นต้องใช้เงินอย่างน้อย 300 ล้านบาท นักข่าวคงต้องไปขอคำอธิบายจากหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ว่าทำไมตัวเลขจึงสูงขนาดนั้น และนั่นเป็นเหตุให้เจ้าตัวตั้งคำถามต่อมาว่า เมื่อมีการออกกฎมาแบบนี้สิ่งที่บังคับต่อพรรการเมืองคือ ให้ยอมแพ้ไปซะเพราะไม่มีเงินหรือเป็นการสนับสนุนให้พรรคทำผิดกฎหมายไม่ต้องสำแดงบัญชีรายรับรายจ่าย
นี่เป็นอีกจุดหนึ่งหรือเปล่าไม่ทราบที่ทำให้เราได้เห็นถึงความย้อนแย้งในกระบวนการเขียนกฎหมายของบรรดาเนติกรรายล้อมเผด็จการ เพราะเจตนารมณ์ของกฎหมายพรรคการเมืองเรียกร้องให้มีพรรคของมวลชน เรียกร้องให้เกิดพรรคการเมืองที่ไม่มีนายทุนเป็นเจ้าของ และต้องการให้พรรคการเมืองเป็นพรรคของสมาชิกทุกคน
แต่กลับมีการระบุให้มีเพียงแค่กรรมการบริหารพรรค กับกรรมการสาขาพรรคเท่านั้น ที่สามารถบริจาคเงินให้พรรคการเมืองได้ เช่นนี้จะถือเป็นการจำกัดให้กลุ่มคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของพรรคการเมืองใช่หรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้นยังทำให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้กฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะอยู่ภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของคสช.และม. 44 เช่นนี้จะทำให้คนเชื่อมั่นได้หรือว่าเป็นการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม