พาราสาวะถี
คงอ่านทางกันไม่ยากการเปิดช่องทางสื่อออนไลน์ที่เป็นทางการทั้งเว็บไซต์ เพจเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมส่วนตัวใช้ชื่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ของท่านผู้นำเผด็จการคสช. เป้าหมายคือต่อยอดความสนใจทางการเมืองที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ ขณะที่บางส่วนก็มองว่านี่เป็นการหาเสียงล่วงหน้าและเตรียมที่จะเปิดตัวทางการเมืองอย่างเป็นทางการ
อรชุน
คงอ่านทางกันไม่ยากการเปิดช่องทางสื่อออนไลน์ที่เป็นทางการทั้งเว็บไซต์ เพจเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมส่วนตัวใช้ชื่อว่า ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ของท่านผู้นำเผด็จการคสช. เป้าหมายคือต่อยอดความสนใจทางการเมืองที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ ขณะที่บางส่วนก็มองว่านี่เป็นการหาเสียงล่วงหน้าและเตรียมที่จะเปิดตัวทางการเมืองอย่างเป็นทางการ
ส่วนเรื่องยอดของคนกดติดตาม กดไลค์ในช่องทางต่าง ๆ นั้น คงไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าจะนำพาท่านผู้นำเผด็จการกลับเข้าสู่ตำแหน่งในการสืบทอดอำนาจได้สะดวกโยธิน เพราะเทคนิคและแท็กติกในการอัพตัวเลขของช่องทางสื่อออนไลน์แต่ละประเภทนั้นมันมีอยู่ ถ้าจะดูกันให้ชัดต้องให้บิ๊กตู่ประกาศตัวไปเลยว่า จะเล่นการเมืองในรูปแบบใด
เรื่องการลงสมัครรับเลือกตั้งไม่ต้องอ้างเพราะมันเป็นไปไม่ได้ตามข้อกฎหมาย จึงเหลือแค่ตอบตกลงให้ให้พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อเป็น 3 แคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯผ่านระบบการยกมือของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือจะมาในรูปแบบนายกฯคนนอก ที่ต้องไปใช้เสียง 250 ส.ว.ลากตั้งในการดันให้กลับมาสืบทอดอำนาจ แบบไหนสง่างามคนฉลาดอย่างหัวหน้าคสช.ย่อมรู้ดี
ประเด็นความชอบธรรมหรือการเอาเปรียบคู่แข่งหรือไม่ คงไม่ต้องไปตั้งข้อสังเกต รวมไปถึงไม่ต้องไปถามหากระบวนการตรวจสอบหรือเอาผิดจากองค์กรอิสระที่จะเป็นผู้กำกับดูแลพรรคการเมืองและการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างกกต. เพราะทุกอย่างจะไร้คำตอบ ทั้งหมดจะอ้างเรื่องประกาศและคำสั่งของคสช. พอไปถามคณะเผด็จการก็จะโยนกลับไปที่กกต. เล่นเอาล่อเอาเถิดกันอยู่แบบนี้
ที่เห็นได้ชัดคือ การบอกว่าช่วงที่ยังไม่มีการปลดล็อกห้ามพรรคการเมืองหาเสียงหรือเคลื่อนไหวใด ๆ แต่การลงพื้นที่ของ 3 รัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเผด็จการที่มีหัวโขนเป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม เป็นที่ประจักษ์ จะอ้างว่าไม่ได้ใช้วันทำการมาสร้างประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองนั่นไม่มีใครว่า แต่น่าสนใจในคำพูดของ อุตตม สาวนายน ว่าที่หัวหน้าพรรค
เพราะเจ้าตัวพูดชัดว่า พรรคจะลงพื้นที่ในช่วงวันหยุดทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด เนื่องจากถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัว โดยจะนำสิ่งที่ได้รับฟังมานั้นไปประกอบกับนโยบายของพรรคในอนาคต ตรงนี้ต้องขีดเส้นใต้ เพราะข้อเรียกร้องของพรรคการเมืองต่าง ๆ ก่อนหน้าที่ขอให้มีการปลดล็อกก็เพื่อที่จะได้พบปะกับประชาชนเพื่อนำเสียงสะท้อนต่าง ๆ มากำหนดเป็นนโยบาย
แต่ปรากฏว่าทุกพรรคการเมืองทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่พรรคของคณะเผด็จการทำได้ แค่นี้มันก็ทำให้เห็นแล้วว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนั้นมันจะเป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรมหรือไม่ ยิ่งท่าทีของกกต.ที่ล่าสุด พันตำรวจเอกจรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกกต.บอกว่า จะไม่เป็นเสือกระดาษอีกต่อไป เพราะมีอำนาจเต็มในการจัดการปัญหาการซื้อเสียง
คำถามก็เกิดขึ้นทันที การใช้อำนาจรัฐ การอ้างการเข้าไปแก้ไขปัญหาของประชาชนผ่านการจัดประชุมสัญจร อ้างใช้เวลานอกราชการไปพบปะประชาชน กกต.ยังใบ้รับประทาน แล้วเช่นนี้จะไปอำนวยความยุติธรรมให้กับพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมได้เช่นนั้นหรือ เหล่านี้คือภาพของกกต.ที่ประชาชนเห็นในช่วงเวลาที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่โหมดการเมืองไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
จะว่าไปก็เหมือนที่บอกมาโดยตลอดเรื่องความหน้าทนของคนฝ่ายเผด็จการ ถึงขนาดที่ใช้ทำเนียบรัฐบาลในการวางแผนตั้งพรรคการเมืองและพูดคุยกับนักการเมืองที่ถูกพลังดูด ยังอ้างหน้าตาเฉยว่าเป็นการหารือเรื่องการทำงานของรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้นนักการเมืองที่เข้าไปพูดคุยได้ไปลาออกจากพรรคต้นสังกัดเดิมและก็ร่วมเปิดตัวกับพรรคของคณะเผด็จการอย่างหน้าชื่นตาบาน
คงไม่ต้องไปย้ำถึงการปฏิรูปที่อวดอ้างสรรพคุณกันสารพัด แค่ด้านการเมืองก็ยังพบการจมปลักอยู่กับวิธีการแบบเดิม ๆ เพียงเริ่มต้นก็เห็นพฤติกรรมน้ำเน่าแบบนักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวที่พรรคพวกตัวเองเคยกล่าวหา การอ้างว่าส.ส.ย้ายพรรคเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไหนบอกว่าถ้าเลือกแบบเดิมก็จะได้แบบเดิม แล้วทำไมจึงไม่สร้างคนใหม่ แนวทางใหม่เป็นทางเลือกให้ประชาชน
จะว่าไปนี่อาจจะเป็นสันดานของพวกที่เหลิงอำนาจไม่ว่าจะเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการใดก็ตาม ในยามที่ต้องการจะอยู่ต่อมักจะหาเหตุผลสารพัดมารองรับ จนลืมไปว่าครั้งหนึ่งตัวเองและพรรคพวกเคยพ่นน้ำลายอะไรไว้ คงอยู่ที่ประชาชนนั่นแหละจะเป็นผู้พิพากษา แต่การที่ได้เห็นอภินิหารทางกฎหมายหลายต่อหลายครั้ง มีคนจำนวนไม่น้อยที่หวั่นใจว่าเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่จะถูกตีตราว่าสกปรกที่สุด
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้วสำหรับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2580 มองไปข้างหน้าเห็นอะไรบ้างนอกจากความว่างเปล่า พูดอย่างนี้ระวังจะถูกเผด็จการคสช.จับไปปรับทัศนคติ เพราะล่าสุด คณะแหล่งข่าวก็ออกมาตอบโต้คนที่วิจารณ์ว่า อยากให้กลับไปอ่านหนังสือให้แตกว่าเขาพูดถึงอะไร ก่อนจะใช้ภาษาทางการทหารมาอธิบายเป็นวรรคเป็นเวร
ก่อนจะตบท้ายตามสไตล์ กล่าวหาว่าฝ่ายที่วิจารณ์ถ้าไม่รักชาติบ้านเมือง อย่าได้แสดงทัศนะบ่อนทำลายชาติมากนัก นอกจากไม่สร้างสรรค์แล้ว ยังทำลายความคาดหวังของชาติอีกต่างหาก ควรแสดงความคิดเห็นที่สร้างสรรค์น่าจะเป็นผลดีกว่า เป็นประโยชน์มากกว่า ผูกขาดความรักชาติไว้แต่กับพวกตัวเองที่ได้ชื่อว่าเป็นเผด็จการ
ถ้าเช่นนั้นคนอย่าง ไพศาล พืชมงคล ถามว่าเป็นพวกไหน การตั้งข้อสังเกต “โบราณว่าทหารหรือจะสู้ขันที ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีใช้บังคับแล้ว รัฐบาลไหนฝ่าฝืนจะตกเก้าอี้และติดคุก คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติจึงเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลในอนาคต อุ้ยตายแล้ว! คสช.และทหารจะพ้นจากตำแหน่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทันทีที่พ้นจากตำแหน่ง ยกเว้นกรรมการประเภทผู้ทรงคุณวุฒิที่จะอยู่ในตำแหน่งสืบทอดอำนาจ คุมอำนาจเหนือรัฐบาลต่อไป ดูรายชื่อแล้วต้องร้องจ๊ากเลยครับ” คนกันเองย่อมรู้เห็นว่าสิ่งที่ทำเป็นไปเพื่ออะไร มีวาระซ่อนเร้นหรือไม่