ตลท.เชื่อ fund flow รอจังหวะเข้าลงทุน-วอลุ่มหดจากมาตรการคุมหุ้นร้อน

ตลท.เชื่อ fund flow รอจังหวะเข้าลงทุน-วอลุ่มหดจากมาตรการคุมหุ้นร้อน


นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.คาดเงินทุนไหลเข้า (fund flow) กำลังรอจังหวะการกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง หากรัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินงบประมาณตามกำหนด โดยเฉพาะโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ซึ่งจะผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ขณะที่ความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในการออกมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ จะช่วยหนุนให้ตลาดหลักทรัพย์มีความมั่นคง และเกิดการลงทุนแบบมีเหตุผลในระยะยาว

นายสถิตย์ กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งหากภาครัฐมีการลงทุนจริงตามกำหนด ก็จะทำให้มีการลงทุนของภาคเอกชนตามมา ส่งผลต่อการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศที่ดีขั้น รวมถึงภาคการส่งออก ภาคการบริการ การท่องเที่ยวก็จะเป็นปัจจัยเสริมเข้ามาด้วย และหากเศรษฐกิจไทยโดยรวมครึ่งปีหลังดีขึ้น การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะโดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน

ขณะที่มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล เงินเฟ้ออยู่ในระดับดี ฐานะการคลังยังดีอยู่ ตลอดจนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของทั้งระบบยังอยู่ในระดับเพียง 2% เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS) ยังอยู่ในระดับที่แข็งแรง ซึ่งปัจจัยทุกอย่างยังมีเสถียรภาพดี รอเพียงการลงทุนภาครัฐ ขณะที่ยังคาดว่าราคาพืชผลทางการเกษตรในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้นด้วย

สำหรับมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับลดลงเหลือราว 40,000 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ราว 50,000 ล้านบาทนั้น เป็นผลจากมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯและก.ล.ต.ร่วมมือกัน ออกมาตรการให้การซื้อขายในตลาดหุ้นมีเหตุผลมากขึ้น ทั้งมาตรการให้สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนที่จะซื้อ(Cash Balance) และเกณฑ์ NET SETTLEMENT หรือการระงับการซื้อขายหุ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่ได้ผล รวมถึงการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมให้การซื้อขายมีเหตุผล ได้มาตรฐานนำไปสู่ตลาดหลักทรัพย์ที่มั่นคง จะหนุนให้เกิดการลงทุนแบบมีเหตุผลในระยะยาว

ขณะที่หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดต่อวัน 5 อันดับแรกในช่วงนี้จะเป็นหุ้นพื้นฐาน และมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน จะอยู่ในกลุ่มรายย่อยราวครึ่งหนึ่ง หรือ 2 หมื่นล้านบาท/วัน ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มกองทุนในประเทศ ,ต่างชาติ และพอร์ตโบรกเกอร์ ซึ่งถือว่ามีความสมดุลแล้ว จากที่ในช่วงครึ่งหลังปีที่แล้วหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรกเป็นหุ้นเก็งกำไร และมูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่จะอยู่ที่นักลงทุนรายย่อยราว 3 หมื่นล้านบาท/วัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพ

 

Back to top button