TPCH ส่งซิกผลงานไตรมาส 3 สดใสรับแผนคุมต้นทุน-เดินหน้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเต็มสูบ
TPCH ส่งซิกผลงานไตรมาส 3/61 สดใสรับแผนคุมต้นทุน-เดินหน้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าเต็มสูบ หนุนกำลังผลิตเข้าเป้า 200 MW ในปี 63
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 3/61 คาดจะมีกำไรเติบโตดีจากกำลังการผลิตที่อยู่ในเกณฑ์ดีและมีการควบคุมต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ พร้อมมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรที่ดี โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 50 เมกะวัตต์ (MW) ขณะที่ปัจจุบันมีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วจำนวน 60 เมกะวัตต์
“บริษัทยังคงเป้าหมายมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2563 โดยในปีนี้ COD แล้ว 60 เมกะวัตต์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกราว 50 เมกะวัตต์ รวมเป็นกำลังการผลิตทั้งสิ้น 110 เมกะวัตต์ ซึ่งเหลืออีกราว 90 เมกะวัตต์ และเพื่อการเดินหน้าไปสู่เป้าหมายดังกล่าว การพิจารณาเข้าซื้อกิจการเพิ่มเติมก็อยู่ในแผนที่จะดำเนินการ โดยตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาอย่างรอบคอบโดยเฉพาะเรื่องความคุ้มทุน ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ด้วยการจัดอันดับเรทติ้ง” นายเชิดศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศจัดอันดับเครดิตองค์กรของ TPCH ที่ระดับ “BBB” สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สามารถคาดการณ์ได้ และแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับหน่วยงานการไฟฟ้าภาครัฐ นอกจากนี้การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงไฟฟ้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากความผันผวนของปริมาณและราคาของวัตถุดิบสำหรับป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวล ตลอดจนความเสี่ยงในการดำเนินการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ และระดับการก่อหนี้ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
โดยทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 3,000 ล้านบาทในปี 2564 จากประมาณ 1,600 ล้านบาทในปี 2561 และประเมินว่า บริษัทจะยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยราคาขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ต่ำจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม โรงไฟฟ้าแห่งใหม่ ๆ ดังกล่าวจะเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัท ซึ่งจะเร่งให้เกิดการประหยัดจากขนาดและช่วยลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตอยู่ที่ระดับ “Stable” หรือ คงที่ โดยการประเมินอันดับเครดิตดังกล่าว สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจ และสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่คาดไว้ โดยที่โครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่จะสร้างแล้วเสร็จตามแผนและสร้างผลตอบแทนที่ดี ซึ่งภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทย่อยนั้น การเปลี่ยนแปลงใดใดต่ออันดับเครดิตองค์กรของบริษัทไทยโพลีคอนส์ก็จะส่งผลต่ออันดับเครดิตองค์กรของบริษัทด้วยเช่นกัน