DDD-JMART แข่งกันลง! ท้ายตลาดราคาทรุดเฉียด15% ติด Top Loser

DDD-JMART แข่งกันลง! ท้ายตลาดราคาทรุดเฉียด15% ติด Top Loser


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายวันนี้(19ต.ค.61) ยังปรับตัวในแดนลบ โดย ณ เวลา 15.47น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,670.71 จุด ลบ 12.20 จุด หรือลดลง 0.72% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 40,194.66 ล้านบาทขณะเดียวกันกลุ่มหุ้นที่ราคาปรับตัวลงแรง 2 อันดับแรกพบว่าหุ้น บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART และ บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD มีแรงเทขายออกมาสูงสุดจนติดอันดับกลุ่ม Top Loser วันนี้ โดยราคาหุ้นทั้ง 2 รายอ่อนตัวเกือบ 15%

โดยบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ณ เวลา 15.57 น. อยู่ที่ระดับ 6.05 บาท ลบ 1.05 บาท หรือ 14.79% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 130.11 ล้านบาท  ขณะที่บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD  ณ เวลา 15.57 น. อยู่ที่ 29 บาท ลบ 5 บาท หรือ 14.71% สูงสุดที่ 35 บาท ต่ำสุดที่ 28.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 387.78 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้น JMART ปรับตัวลงแรงแหล่งข่าวห้องค้าได้ ระบุว่า นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลว่าผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2561 จะออกมาไม่สดใส เนื่องจากในช่วงดังกล่าว ทางบริษัทขายสินค้าไม่ค่อยดี จนทำให้เกิดมีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมาก อีกทั้งกำลังซื้อที่ชะลอตัว คาดว่าจะทำให้ทางบริษัทต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2561 ของ JMART และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 44.54 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.06 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 148.12 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.20 บาท โดยงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561

ด้านนายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JMART เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/61 คาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Apple ปลายปีนี้ ที่จะเข้ามากระตุ้นยอดขาย หลังจากไตรมาส 3/61 มีสต๊อกสินค้าคงค้างค่อนข้างมาก และกำลังซื้อชะลอตัว ทำให้มีผลขาดทุนคลังสินค้าที่เหลือ

โดยบริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ในปี 61 จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 1.32 หมื่นล้านบาท และพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำรายได้ไปแล้ว 6.49 พันล้านบาท แต่มีผลขาดทุนสุทธิ 142.72 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1/61 มีการตั้งสำรองจากบริษัทลูก ได้แก่ บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้ประกอบการธุรกิจติดตามหนี้ และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และบมจ.ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) ผู้ประกอบการเช่าซื้อ รวมถึงไตรมาส 3/61 เป็นช่วงโลว์ซีซั่นและยังมีสต๊อกสินค้าคงค้างค่อนข้างมาก

ส่วนราคาหุ้น DDD ปรับตัวลงต่อเนื่อง 4 วันติด นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 43 บาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.2561 คิดเป็นการปรับตัวลง 38.71% และยังปรับตัวลงต่ำสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2651 โดยมีราคา IPO ที่ 53 บาท

ด้าน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ถือ” ให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท/หุ้น โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 อยู่ที่ 5 ล้านบาท หดตัว 89% เมื่อเทียบจากปีก่อน และลดลง 92% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ส่งผลจาก 1) รายได้ที่ชะลอตัวลงอยู่ที่ 160 ล้านบาท 2) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ออุตสาหกรรม Skin care ในประเทศลดลงและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัวลดลง, 3) Gross profit margin ปรับตัวลดลงที่ 52%

อย่างไรก็ตาม มองว่ากำไรสุทธิของ DDD จะเริ่มฟื้นตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนในไตรมาส 4/61 จากรายได้ในประเทศที่ขยายตัว จาก High Season นอกจากนี้ มองว่ารายได้ต่างประเทศจะขยายตัวเมื่อเทียบจากปีก่อนและไตรมาสก่อน จากการปรับปรุง packaging ที่ได้รับ CFDA เสร็จในไตรมาส 3/61 และเริ่มรับรู้รายได้จากประเทศฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2561-2562 ลง 38-45% จากรายได้ในประเทศและต่างประเทศที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อย่างไรก็ตามมองว่าราคาที่ปรับตัวลง 30%ใน 1 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนผลกระทบจากผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/61ที่คาดว่าจะชะลอตัวไปบางส่วนแล้ว จึงคงคำแนะนำ “ถือ” จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน

ด้าน บล.เอเชีย เวลท์ ระบุว่า ความกังวลเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงกดหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการบริโภคของนักท่องเที่ยว เช่น AOT, ERW, MINT, CENTEL, CPALL, TKN, BEAUTY, DDD ซึ่งบางกิจการคาดว่าราคาหุ้นปรับตัวลงสะท้อนปัจจัยลบมากเกินไปแล้ว

Back to top button