บอร์ด SELIC ไฟเขียว! ทุ่มเงิน 1.05พันลบ. ฮุบ2บริษัทกลุ่ม PMC ต่อยอดธุรกิจผลิตสติกเกอร์กาว
บอร์ด SELIC ไฟเขียว! ทุ่มเงิน 1.05พันลบ. ฮุบ2บริษัทกลุ่ม PMC ต่อยอดธุรกิจผลิตสติกเกอร์กาว
บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC เปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อสารสนเทศของตลาดหลักทรัพย์ถึง มติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 8/2561 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ได้พิจารณาอนุมัติให้บริษัทเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญทั้งหมดใน บริษัท พีเอ็มซีเลเบิล แมททีเรีลส์ จำกัด หรือ PMCT ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยจำนวน 1,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของ PMCT จากนาย ตัน ยง เฮง และผู้หุ้นเดิมอีก สองราย (กลุ่มผู้ขายหุ้น PMCT) รวมเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 945,000,000 บาท
พร้อมกับเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดใน บริษัท พีเอ็มซีเลเบิล แมททีเรีลส์ พีทีอี ลิมิเตด หรือ PMCS ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์จำนวน 2 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของ PMCS จากนาย ตัน ยง เฮง และนางสาว ตัน ซู ลัง (กลุ่มผู้ขายหุ้น PMCS) เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 105,000,000 บาท รวมคิดเป็นมูลค่าการเข้าซื้อหุ้น จากกลุ่มผู้ขายหุ้น PMCT และ PMCS ทั้งสิ้นไม่เกิน 1,050,000,000 บาท (การซื้อหุ้นกลุ่ม PMC)
โดยแหล่งที่มาของเงินทุนในการซื้อหุ้นกลุ่ม PMC มาจากเงินสดในมือและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินไม่เกิน 900 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้สถาบันการเงินได้อนุมัตวิงเงินกู้ระยะยาวดังกล่าวแล้ว
สำหรับการเข้าทำการซื้อหุ้นกลุ่ม PMC ดังกล่าวมีขนาดรายการสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 886.55 ของกำไรสุทธิของบริษัท และบริษัทย่อย เมื่อคำนวณตามเกณฑ์กำไรสุทธิจากงบการเงินรวมของบริษัทฉบับสอบทานแล้ว ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 และงบการเงินของกลุ่มกิจการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 เข้าข่ายเป็นรายการประเภทที่ 4 ตามประกาศเรื่องการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สินที่มีนัยสำคัญ ดังนั้น บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องขออนุมัติการเข้าทำการซื้อหุ้นกลุ่ม PMCต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อย่างไรก็ดี การเข้าทำรายการดังกล่าวเข้าหลักเกณฑ์ไม่เป็นกรณีต้องยื่นคำขอให้พิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ บริษัทจึงเพียงมีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานและเปิดเผยการได้มาซึ่งสินทรัพย์ต่อตลาดฯพร้อมกับดำเนินการจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการเข้าทำรายการดังกล่าวด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนโดยไม่นับเสียงของผู้ถือหุนที่มีส่วนได้เสีย และแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการเข้าทำการซื้อหุ้นกลุ่ม PMC และจัดส่งความเห็นดังกล่าวให้แก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.),ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัท พิจารณาต่อไป
สำหรับกลุ่มผู้ขายหุ้น PMCT และกลุ่มผู้ขายหุ้น PMCS มิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทและการเข้าทำรายการดังกล่าวไม่ถือเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกันตามประกาศของคณะกรรมการกำกับตลาดทุนและคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติในหลักการและเงื่อนไขในการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการเข้าทำรายการซื้อหุ้นกลุ่ม PMC ภายในวงเงินกู้ยืมระยะยาวไม่เกิน 900 ล้านบาทและวงเงินกู้สำหรับเงินทุนหมุนเวียนสำหรับบริษัท PMCT เมื่อเข้าทำการซื้อหุ้นกลุ่ม PMC แล้วไม่เกิน 252 ล้านบาท โดยแต่งตั้ง บริษัท แอดไวซอรี่ พลัส จำกัด ให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการเข้าทำการซื้อหุ้นกลุ่ม PMCแก่ผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ PMCT เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้กาว กระดาษ และฟิล์ม เป็นวัตถุดิบหลัก ขณะที่ PMCS เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศในสิงคโปร์และต่างประเทศ โดยจะทำการสั่งซื้อสติกเกอร์สำเร็จรูปหรือกึ่งสำเร็จรูปจาก PMCT และนำไปผลิตต่อตามคำสั่งซื้อของลูกค้า
ขณะที่การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้บริษัทมียอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจของกลุ่มกิจการ ตลอดจนเพิ่มฐานลูกค้าไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น ได้กว้างขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รวมถึงเพิ่มโอกาสในการต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์สติกเกอร์ เช่น กาวชนิด UV-curable กาวประเภท PU based laminating สติกเกอร์ทนความร้อน สติกเกอร์ประเภท removable อันจะยังให้เป็นการเพิ่มความสามารถในการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของบริษัท และยังเพิ่มโอกาสในการนำเสนอผลิตภัณฑ์รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
โดยธุรกิจที่ได้มามีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเสริมกันและกัน กับธุรกิจของบริษัท ใน Value Chain ของอุตสาหกรรมกาว บริษัทจะทำหน้าที่ในการจัดหาวัตถุดิบ คิดค้นและพัฒนาสูตรกาวเฉพาะที่เหมาะแก่การใช้งานในแต่ละประเภทให้กับลูกค้าในแต่ละอุตสาหกรรม โดยจะครอบคลุมไปถึงลูกค้าในอุตสาหกรรมเคลือบผิว เช่น ธุรกิจผลิตสติกเกอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในตลาดฉลากบรรจุภัณฑ์ รวมถึงช่วยเพิ่มการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) ของบริษัทสำหรับผลิตภัณฑ์กาวน้ำ (Water-based adhesive) และผลิตภัณฑ์กาวหลอมร้อน (Hot Melt Adhesive) เนื่องด้วยกาวเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตสติกเกอร์ของกลุ่มกิจการ
พร้อมกันนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อให้มีการอนุมัติการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการใช้เงินเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ก่อนหน้านี้ ซึ่งปัจจุบันมีเงินคงเหลือ 53.53 ล้านบาท โดยจะปรับแผนการใช้เงินเพิ่มทุนจากเดิมลงมาเหลือเพียงเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ กำหนดให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่1/2561 ในวันที่ 14 ธ.ค.61 เพื่อพิจารณาการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว และเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุน