พาราสาวะถี
แพลมมาจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะมีการหารือร่วมกันระหว่างคสช.และพรรคการเมือง ไม่ภายในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ต้นเดือนธันวาคม ซึ่งความจริงมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะในวันที่ 11 ธันวาคม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีผลบังคับใช้ นั่นหมายความว่า คณะเผด็จการจะต้องปลดล็อกให้ทุกพรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมเต็มที่ หากยึดโรดแมปเลือกตั้งที่วางไว้ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า
อรชุน
แพลมมาจากปากของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะมีการหารือร่วมกันระหว่างคสช.และพรรคการเมือง ไม่ภายในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ต้นเดือนธันวาคม ซึ่งความจริงมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะในวันที่ 11 ธันวาคม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.จะมีผลบังคับใช้ นั่นหมายความว่า คณะเผด็จการจะต้องปลดล็อกให้ทุกพรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมเต็มที่ หากยึดโรดแมปเลือกตั้งที่วางไว้ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า
ขณะเดียวกัน ผู้นำเผด็จการก็จะต้องประกาศความชัดเจนทางการเมืองของตัวเองในห้วงเวลาดังกล่าว หากไม่อยากถูกโจมตีว่าใช้ตำแหน่งที่ตัวเองมีเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองของคสช.จนวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะหย่อนบัตรเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องดึงจังหวะกันถึงขนาดนั้น ในเมื่อสถานการณ์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ผู้มีอำนาจกุมความได้เปรียบแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทุกประตู
หนึ่งต้องไม่ลืมว่านี่ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ แต่เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มโดยที่ไม่ต้องไปร้องขอให้องค์กรอิสระอย่างกกต.อนุญาตในเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่จะทำ อีกหนึ่งยังมีอำนาจของมาตรา 44 ไปจนกว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่จะถวายสัตย์ปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ดังนั้น การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น หากฝ่ายต้องการสืบทอดอำนาจเห็นว่าเสียเปรียบและคงจะพ่ายแพ้แน่ ๆ ก็สามารถหาเหตุที่จะทำให้การเลือกตั้งไม่เกิดขึ้นหรือเลื่อนออกไปให้ยาวนานเท่าใดก็ได้
มองจากทุกมุมแล้ว หากต้องการสลัดคราบความเป็นเผด็จการออกไป ท่านผู้นำจึงต้องรีบแสดงตัวว่าจะเดินบนถนนสายการเมืองอย่างไร ไม่ต้องกลัวเรื่องเสียงครหาเพราะอยู่มานานกว่า 4 ปี ก็ไม่เคยสนใจต่อเสียงเหล่านั้นอยู่แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเนติบริกรรายล้อมรอบตัวสามารถที่จะให้คำแนะนำ วางทางถอยไว้ให้ชนิดที่ศรีธนญชัยยังอายอยู่แล้ว
อีกประการที่น่าจะทำให้ท่านผู้นำกล้าประกาศแสดงตัวทางการเมืองได้อย่างไม่อายใคร คงเป็นผลงานที่ประกาศกันอยู่ตลอดเวลาว่ามีมากกว่ารัฐบาลไหน ๆ เพราะท่านเองก็ไปพูดทุกเวทีไม่มีนายกฯคนไหนทำงานมากกว่าตัวเองอีกแล้ว ถ้ามั่นใจในงานที่ทำ เชื่อในผลงานว่าได้รับความชื่นชอบชื่นชมจากประชาชน ก็ไม่เห็นว่าจะต้องมาดึงเวลาในการเปิดตัวไว้ทำไม
ยิ่งพิจารณาไปยังผลโพลต่าง ๆ คะแนนนิยมของผู้นำเผด็จการก็มาเป็นอันดับหนึ่ง ขึ้นหม้อเสียขนาดนี้ น่าจะรีบประกาศตัวเอง ยิ่งเข้าไปสังกัดพรรคการเมืองอย่างเช่นพลังประชารัฐเสียเลยยิ่งดีไปกันใหญ่ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปโฆษณาขายฝันในแง่แนวคิด นโยบายเหมือนพรรคการเมืองเกิดใหม่อื่น ๆ เนื่องจากมีผลงานเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นในการเดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดพะเยาเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หมอดูพื้นที่ยังทำนายทายทักอีกว่าท่านผู้นำดวงแข็งและจะได้เป็นนายกฯต่อ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วกระมังที่น่าจะสร้างความมั่นใจในการอยู่ต่อแบบสุด ๆ ไม่ต่างอะไรจากที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่สนับสนุนอีกแรงว่า “คนเขาก็บอกให้อยู่อีกนาน ผมลงพื้นที่ไปแจกโฉนดที่ดิน เขาก็พูดอย่างนั้น” มันช่างเลิศเลอเพอร์เฟกต์เสียนี่กระไร
บอกแล้วไง ผลงานมีเยอะ โดยเฉพาะการยึดโฉนดจากนายทุนหน้าเลือดมาแจกให้กับลูกหนี้นอกระบบทั้งหลาย ถ้าทำได้ทั่วทั้งประเทศและทั่วถึง ไม่เฉพาะเจาะจงที่อีสานเป็นด้านหลัก เชื่อขนมกินได้เลย พลังประชารัฐชูแค่นโยบายนี้นโยบายเดียว เพื่อไทยหรือกี่สิบกี่ร้อยทักษิณก็คงจะสู้รัฐบาลเผด็จการไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า หลังการเลือกตั้งแล้วไม่มีกฎหมายพิเศษมันจะจัดการแบบที่ทำอยู่นี้ได้หรือเปล่า
ยิ่งวันเลือกตั้งงวดเข้ามาเท่าไหร่ฝ่ายสืบทอดอำนาจเริ่มที่จะหมดความเหนียมเลิกกระดากกันมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากบิ๊กป้อมที่ชูให้น้องตู่อยู่ไปนาน ๆ แล้ว วันก่อน สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็บอกว่ามีลางสังหรณ์ “นายกฯหลังเลือกตั้งหน้าจะคล้ายคนเดิม” หยอดกันวันละนิดสะกิดกันวันละหน่อย ค่อย ๆ ซึมซับกันเข้าไปเพื่อที่จะได้(หลอก)บอกประชาชนว่า พวกข้านี่แหละนักประชาธิปไตยตัวจริงที่กลับมาเป็นรัฐบาลอีกกระทอก มาจากความสามารถ ฝีมือในการบริหารประเทศล้วน ๆ
ไม่ได้ใช้กลวิธีเล่นแร่แปรธาตุใด ๆ ให้ชนะการเลือกตั้งหรือไม่ชนะแต่สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ บอกแล้วไงคุณสมบัติของเผด็จการคือหน้าทน ไม่สนเสียงนกเสียงกาใครจะว่าอย่างไร ทุกอย่างอ้างเหตุของความขัดแย้งเป็นหลัก แล้วก็ทวงบุญคุณทุกครั้งที่มีโอกาส ส่วนความเป็นจริงคนทั่วไปจะยอมรับหรือไม่ไม่สน เพราะคนมีอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือไม่เห็นต้องกลัวอะไร
ผิดกับอดีตผู้นำมวลมหาประชาชน ที่อ้างเสียสัตย์เพื่อชาติ (อีกแล้วครับท่าน) หวนคืนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย แล้วอาสาเป็นผู้นำแกนนำพรรคออกเดินหาสมาชิกพรรค แต่วันนี้ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับวันที่ชัตดาวน์ประเทศต่างกันลิบลับ ที่เคยคาบนกหวีดแล้วรับบริจาคได้เม็ดเงินมหาศาล นาทีนี้แม้แต่สุนัขยังเมิน มิหนำซ้ำ ระหว่างเดินยังถูกคนเคยรักก่นด่า โดยเห็นว่าเป็นคนไม่รักษาคำพูด
บทที่เคยท่องอำนาจเก่าหรือพวกทักษิณนั่นแหละคอยมาก่อกวน หากเป็นช่วงห้อยนกหวีดทองคำคนคงยกมือเชียร์หน้าสลอน ทว่ามาพูดตอนนี้นอกจากไม่เห็นด้วยแล้ว ยังเกิดปุจฉาตามมาแท้ที่จริงแล้วก็พวกเดียวกันหรือเปล่า ที่เคยหลงเชื่อ คิดว่าประเทศจะได้รับการปฏิรูปและทำคนอยู่ดีกินดี สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่มันพิสูจน์ชัด ขี้หกทั้งเพ!
นี่ก็ไม่ต่างกัน ครั้งหนึ่งท่านผู้นำเคยประกาศยุคเผด็จการคสช.ประเทศไทยมีประชาธิปไตย 99.99 เปอร์เซ็นต์ แล้วเหตุใด วันวานจึงพูดกับคณะเยาวชนที่ชนะการประกวดด้านศิลปวัฒนธรรมในต่างประเทศที่เข้าพบว่า เรากำลังเดินหน้าไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยในเร็ว ๆ นี้ เป็นอีกหนึ่งความย้อนแย้งที่เคยบอกมาตลอดว่า คณะเผด็จการยุคนี้พูดหรือทำอะไรแล้วไม่เคยอยู่กับร่องกับรอย
เพราะท่วงทำนองเช่นนี้ ความพิลึกกึกกือในการปฏิบัติหลายเรื่องรวมถึงการใช้อภินิหารกฎหมายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด สิ่งที่ปรากฏในเพลงแร็พประเทศกูมีจึงทำให้ใครหลายคนหน้าหงายพูดไม่ออก ที่เคยฮึ่ม ๆ เลยกลายเป็นหัวหด จากที่จ้องจะใช้กฎหมายเล่นงานแต่หาช่องไม่เจอ จึงมีการเบี่ยงประเด็นไปที่การใช้ภาพเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 มาประกอบเอ็มวี อ้างว่ามีเจตนาสะท้อนความรุนแรงในสังคม นี่กะว่าจะต้องหาเหตุเอาผิดให้ได้ นิสัยเผด็จการมันแก้ไม่หายจริง ๆ ทั้งที่ภาพความชั่วร้ายครั้งนั้นรู้กันทั้งโลกเกิดขึ้นเพราะใคร