NER ขึ้นสังเวียนเทรดวันแรก ลุ้นราคาวิ่งทะลุ 4 บ. ขานรับพื้นฐานธุรกิจแกร่ง
ไอพีโอน้องใหม่ NER ลุยเทรดวันแรกลุ้นราคาวิ่งทะลุ 4 บาท ชูจุดแข็งผู้นำผลิตยางแผ่นรมควัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (7 พ.ย.61) บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรกในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจธุรกิจการเกษตร โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) จำนวน 600 ล้านหุ้น ในราคา IPO ที่ 2.58 บาท
ทั้งนี้ ปัจจุบัน NER มีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,540 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 470 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 940 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “NER” ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561
โดย NER ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากยางพารา ได้แก่ ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราไปยังนอกราชอาณาจักร โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศต่อต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ของรายได้จากการขายสินค้า
ขณะที่ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 940 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 600 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวน 600 ล้านหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 29-31 ตุลาคม 2561 ในราคาหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,548 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 3,973 ล้านบาท โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บมจ. หลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ด้านนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NER เปิดเผยว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯ มีความน่าเชื่อถือต่อคู้ค่ามากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะมีฐานทุนที่แข็งแกร่งขึ้น สามารถรองรับแผนการขยายกิจการในอนาคต ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและขยายโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจของบริษัท สอดคล้องตามการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการขยายการดำเนินธุรกิจ และช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว
โดย NER มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มนายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ 61.04% นางทัศนีย์ ยังมีวิทยา 0.98% และ นางสาวนลินี แจ่มวุฒิปรีชา 0.39% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ทั้งนี้ ราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.58 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 9.96 เท่า ซึ่งคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 398.83 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้เท่ากับ 1,540 ล้านหุ้น (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.2590 บาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือภายหลังจากหักภาษี และเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับของบริษัทและตามกฎหมาย
ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า NER จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 7 พ.ย.นี้ ในหมวดธุรกิจการเกษตร เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และมั่นใจว่าหุ้น NER จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน ด้วยผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง และนโยบายการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน จํากัด (มหาชน) หรือ CNS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ประเมินว่า ราคาหุ้น NER เข้าซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก (21 ธ.ค.60) มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นทะลุ 4 บาท จากราคา IPO ที่ 2.58 บาท มีอัพไซต์อยู่ที่ 40%
ทั้งนี้ NER มีอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) 9.96 เท่า คำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 4 ไตรมาสย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2560 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2561 มองว่าเป็นราคาที่เหมาะสม ซึ่งมีสัดส่วนการเสนอขายหุ้นต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวน 480 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 80%, เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท จำนวน 60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 10% และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และหรือพนักงานของบริษัท จำนวน 60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 10%