พาราสาวะถี
เห็นหน้าค่าตากันหมดแล้วว่าไผเป็นไผสำหรับพรรคทักษิณ ชินวัตร เอ๊ย! ไทยรักษาชาติหรือทษช. บอกได้หรือไม่ว่าเป็นเพื่อไทยสาขา 2 ในเชิงนิตินัยต้องปฏิเสธกันโดยสิ้นเชิงว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ได้เป็นนอมินีให้กับพรรคนายใหญ่ แต่เห็นบรรดาแกนนำแล้วในแง่ของความคิดคนจะห้ามไม่ให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นคงยาก สิ่งสำคัญคือเมื่อกฎหมายถูกออกแบบมาเช่นนี้พรรคที่ถูกเพ่งเล็งและมีโอกาสถูกยุบมากที่สุด จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุกันอุตลุด
อรชุน
เห็นหน้าค่าตากันหมดแล้วว่าไผเป็นไผสำหรับพรรคทักษิณ ชินวัตร เอ๊ย! ไทยรักษาชาติหรือทษช. บอกได้หรือไม่ว่าเป็นเพื่อไทยสาขา 2 ในเชิงนิตินัยต้องปฏิเสธกันโดยสิ้นเชิงว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ได้เป็นนอมินีให้กับพรรคนายใหญ่ แต่เห็นบรรดาแกนนำแล้วในแง่ของความคิดคนจะห้ามไม่ให้เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นคงยาก สิ่งสำคัญคือเมื่อกฎหมายถูกออกแบบมาเช่นนี้พรรคที่ถูกเพ่งเล็งและมีโอกาสถูกยุบมากที่สุด จึงต้องเล่นแร่แปรธาตุกันอุตลุด
น่าเห็นใจคงเป็นกองเชียร์เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้า หากเพื่อไทยไม่ถูกยุบแล้วส่งผู้สมัครลงสนามอย่างครบครัน ในขณะที่พรรคอย่างทษช.ก็ไม่ยอมน้อยหน้าจัดทัพเต็มอัตราศึก ไหนจะมีเพื่อชาติ เพื่อธรรม อีกต่างหาก ไม่รู้จะแบ่งภาคเลือกใคร ถือเป็นกรณีศึกษาถ้าเกิดภาวะเลือกไม่ถูก รักพี่เสียดายน้องแบบนี้ จะเป็นผลดีกับพรรคนายใหญ่และพรรคเครือข่ายสาขาหรือไม่
ในเชิงคณิตศาสตร์การเมือง เข้าใจว่าคนอย่างทักษิณคงไม่คิดและทำอะไรแบบต้องการแค่ความสะใจ แต่ดีดลูกคิดแล้วต้องได้มากกว่าเสีย ยิ่งมองจากชัยชนะบนเส้นทางการเลือกตั้งตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าคณะเผด็จการจะใช้กลเกมอย่างไร คะแนนเสียงที่เคยได้ไม่น่าจะสูญหายไปไหน ส่วนจะเก็บได้เพิ่ม เติมให้เต็มกับบรรดาสารพัดพรรคในสังกัดหรือไม่ ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม
ภาวะกองเชียร์ลำบากใจ ไม่ได้เกิดเฉพาะฝั่งเชียร์ทักษิณเท่านั้น พวกเกลียดระบอบทักษิณแต่ไม่อยากเลือกประชาธิปัตย์ ก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าแล้วจะไปหย่อนบัตรลงคะแนนให้ใคร มองไปที่พลังประชารัฐ พิสูจน์จากผลงาน ต่อให้รักและชื่นชมอย่างไรก็คงจะตัดใจเลือกให้กลับมาลำบาก หากไม่อยากจะต้องประสบปัญหาชีวิตปากท้องเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
เรียกได้ว่า กระบวนการหรือวิธีเลือกตั้งในรูปแบบจัดสรรปันส่วนผสม ใช้บัตรใบเดียวไม่ให้คะแนนเสียงตกน้ำ โดยวางเป้าหมายเพื่อบอนไซพรรคนายใหญ่ และไม่ให้พรรคใดได้เสียงข้างมากเพียงพรรคเดียวนั้น มันจะเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับทุกพรรคการเมือง แต่คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับพรรคของเผด็จการ ขอแค่เก็บคะแนนเสียงได้ตามเป้า ไม่ต้องเป็นเสียงข้างมากก็ถือว่าเข้าทางที่จะสืบทอดอำนาจกันแล้ว
นั่นเป็นเพราะ หากการเลือกนายกรัฐมนตรีตามบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง พรรคละ 3 ชื่อทำการไม่สำเร็จ ก็ต้องเปิดช่องให้ใช้กลไกของที่ประชุมรัฐสภาเป็นผู้เลือกอันหมายถึงนายกฯคนนอก นั่นเท่ากับเข้าทางแผนการของเผด็จการที่เตรียมไว้ เสียงส.ส.จำนวนที่เพียงพอตามความต้องการบวก 250 เสียงส.ว.ลากตั้ง เท่านี้ก็ลากเอาผู้มีอำนาจสูงสุดในปัจจุบัน กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอกได้สบายแฮ
ด้วยกลไกที่วางไว้กันเช่นนี้หรือเปล่าไม่ทราบ เราจึงได้เห็นท่าทีอันแข็งขันและแข็งขืนของ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศปฏิเสธที่จะให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ้างถึงไม่อยากให้ประเทศถูกมองว่ามีปัญหา อ้างความเป็นมงคลของการเริ่มต้น และเลยเถิดไปถึงการให้ภาคประชาชนคนไทยเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนตรวจสอบการเลือกตั้ง
ทั้ง ๆ ที่ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีของรัฐบาลเผด็จการ มีการตัดวงจรกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนแทบจะทุกเรื่อง ด้วยภาวะต้องเชื่อฟังผู้นำแต่เพียงผู้เดียว พอจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้วต่างชาติต้องการเข้ามาตรวจสอบกลับยกเอาประชาชนมาเป็นข้ออ้าง นี่แหละคือคุณสมบัติอย่างหนาของเผด็จการที่บอกมาโดยตลอด
ความจริงแล้ว ถือเป็นการดีเสียด้วยซ้ำไปที่ต่างชาติจะเข้ามาสังเกตการณ์ หากไม่เชื่อมั่นต่อความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ขององค์กรอิสระอย่างกกต.ของไทย ภายใต้อำนาจเผด็จการที่รับรู้กันว่ามาตรา 44 มีฤทธิ์เดชเหนือสิ่งอื่นใด หากจริงใจและไม่มีอะไรต้องปกปิด ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหวาดกลัวต่อการเข้ามาขององค์กรระหว่างประเทศเหล่านั้น ยิ่งได้รับการรับรองว่าการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส ยิ่งจะเป็นการดีกับคณะรัฐบาลเผด็จการเสียอีก
จะดีไปกว่านั้นอีกต่างหาก ถ้าพรรคของคสช.ชนะการเลือกตั้งแล้วท่านผู้นำจะกลับมาสืบทอดอำนาจผ่านการเสนอชื่อของพรรคการเมือง หรือแม้แต่การเข้ามาเป็นนายกฯคนนอก หลังจากผ่านการตรวจสอบขององค์กรระหว่างประเทศแล้วว่ากระบวนการจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ยุติธรรม ก็ยิ่งจะทำให้เกิดความเชื่อถือและยอมรับจากนานาประเทศด้วย
แต่ก็พอจะเข้าใจในความเป็นเผด็จการ คงไม่อยากให้ใครมาจุ้นจ้าน เพราะบางเรื่องมันสามารถสั่งคนในประเทศซ้ายหันขวาหันหรือให้หยุดกระทำได้ แม้กระทั่งการต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ ทว่าถ้าปล่อยให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามา แล้วเกิดพบความไม่ชอบมาพากล นอกจากสั่งคนเหล่านั้นไม่ได้แล้ว ยังจะถูกนำสิ่งนั้นไปขยายผล โพนทะนาให้เห็นถึงพฤติกรรมหรือการกระทำของอำนาจเผด็จการอีกต่างหาก
ต้องยอมรับกันว่า คณะเผด็จการชุดนี้นอกจากจะหน้าทนเหมือนอย่างที่ท่านผู้นำว่าแล้ว ยังไม่สนใจใยดีต่อกระแสเรียกร้องใด ๆ อีกด้วย ดังนั้น จึงไม่แปลกต่อท่าทีของรัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้ดิบได้ดีมาจากปลายกระบอกปืนที่ปล้นประชาธิปไตย ส่วนการยกตัวเองว่ามีความเป็นสากลและสัมผัสความเป็นสากลมากกว่าใครนั้น มันฟังเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากการถือยศถืออย่าง และยึดติดกับหัวโขนความเป็นศักดินาของอดีตนักการทูตรายนี้นั่นเอง
ความอ่อนไหวของเผด็จการไม่เพียงแค่เรื่องของต่างชาติขอเข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้งเท่านั้น แม้แต่กรณีปฏิทินของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็ถูกตรวจสอบกันอย่างละเอียดยิบ ในมุมที่ว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง ใครถือครองต้องตกเป็นบุคคลอันตราย ต้องได้รับเกียรติจากทหาร ตำรวจ เข้าไปตรวจค้นกันถึงบ้านละเอียดยิบ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องออกอาการกลัวกันถึงขนาดนั้น
ยังดีที่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รีบออกมาแตะเบรก ยืนยันปฏิทินไม่ผิดกฎหมาย ส่วนที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปตรวจสอบแค่ขอดูเท่านั้น ก่อนที่จะสั่งเด็ดขาดว่าพรรคการเมืองห้ามไปยุ่งกับของสิ่งนี้ หรือนี่คือสัญญาณนำไปสู่การยุบพรรคนายใหญ่ แต่ที่น่าขีดเส้นใต้คือการบอกว่าไม่มีการเลื่อนการเลือกตั้งแน่นอน ฟังดูเกือบดีแล้ว แต่มันติดตรงที่ว่าถ้าคุมอยู่ อ้าว! แล้วถ้าคุมไม่อยู่กล่าวคือมีเหตุที่ (สร้างขึ้น) นำไปสู่การเลื่อนเลือกตั้งขึ้นมา ท่านจะว่าอย่างไร ตรงนี้ต่างหากที่คนจำนวนไม่น้อยเป็นห่วง