พาราสาวะถี
หัวอกคนคุกด้วยกัน ดังนั้น ถ้อยแถลงของ จตุพร พรหมพันธุ์ กับ สุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พุทธะอิสระ ที่ดำเนินไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แน่นอนว่า ในจังหวะที่เข้าไปเป็นผู้ต้องขังเหมือนกัน ย่อมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมถึงความเห็นต่างที่เคยมีต่อกัน กลายเป็นความเข้าใจ สุดท้ายเมื่อออกสู่โลกภายนอกจึงยังคงมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในฐานะมิตร
อรชุน
หัวอกคนคุกด้วยกัน ดังนั้น ถ้อยแถลงของ จตุพร พรหมพันธุ์ กับ สุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือ พุทธะอิสระ ที่ดำเนินไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แน่นอนว่า ในจังหวะที่เข้าไปเป็นผู้ต้องขังเหมือนกัน ย่อมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนสนทนาธรรมถึงความเห็นต่างที่เคยมีต่อกัน กลายเป็นความเข้าใจ สุดท้ายเมื่อออกสู่โลกภายนอกจึงยังคงมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในฐานะมิตร
อย่างที่พุทธะอิสระว่า “มิตรภาพเกิดยามลำบากยั่งยืน” อาจจะด้วยภายหลังการต่อสู้ของม็อบชัตดาวน์ประเทศ เจ้าตัวอาจดวงตาเห็นธรรมเห็นความไม่เข้าท่าหลาย ๆ ประการ วันเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นั่นอาจเป็นสิ่งที่อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยได้สัมผัส ส่วนจะมีเหตุและปัจจัยอื่นทำให้เปลี่ยนกระบวนคิดและท่าทีหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ยากจะมีใครรับรู้ได้
ขณะที่จตุพรก็ยอมรับในสิ่งที่พุทธะอิสระกล่าวถึง โดยบอกว่า นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง แม้เคยต่อสู้เห็นต่างกัน แต่เมื่ออยู่ในชะตากรรมเดียวกันในเรือนจำก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องชาติบ้านเมืองได้ นี่เป็นแบบอย่างหนึ่งว่าแม้ไม่ได้คิดเหมือนกัน แต่ต้องอยู่ได้ท่ามกลางความแตกต่างโดยไม่มีความแตกแยก เพียงแต่ประเทศไทยในช่วง 10 ปีมานี้ ความแตกต่างคือความแตกแยก คิดต่างไม่ใช่พวก
อย่างไรก็ตาม ท่วงทำนองของแกนนำม็อบต่างขั้วที่น่าจะทำให้กองเชียร์สายฮาร์ดคอร์ไม่พอใจไม่ใช่น้อย อาจจะถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ เกษียร เตชะพีระ กับทีมงานเว็บไซต์ประชาไท มีความเห็นต่อประเด็นความเห็นแตกต่างอย่างน่าสนใจ บทเรียนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาและจากบทเรียนที่คสช. ขึ้นมาปกครอง เจ้าตัวคิดว่าสังคมไทยมีเรื่องต้องทะเลาะกันอีกเยอะ
ถึงแม้คนทั้งหลายจะบอกว่า ไม่ล่ะเราถึงเวลาปรองดองแล้ว ไม่ใช่ครับท่าน เรายังมีเรื่องที่จะทะเลาะกันเยอะ เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องแนวทางการพัฒนาประเทศ เรื่องการกระจายความมั่งคั่ง เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ เยอะหลายเรื่องที่เราจะทะเลาะกัน มีอีกแยะ เพราะในแต่ละเรื่องสำคัญใหญ่ ๆ เรามีเดิมพันกันทั้งนั้น ผลประโยชน์ของท่านกับผลประโยชน์ทั้งหลายของสังคมมันไม่แน่หรอกว่าจะตรงกัน
ดังนั้น ในโอกาสต่อไปข้างหน้า ที่เราเล็งเห็นว่าสังคมไทยยังมีเรื่องที่ต้องทะเลาะ ที่ต้องคุยกันอีกเยอะไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ด้วยการมีใครกุมอำนาจซักคนแล้วสั่ง คิดว่านี่จะเป็นทางแก้ปัญหา ไม่ใช่ ไม่จบ ในเงื่อนไขแบบนี้ ขั้นต่ำสุดที่จะทำให้เราทะเลาะกันโดยไม่ฆ่ากันได้คือ สิทธิมนุษยชน การต่อสู้อย่างสันติ นี่คือวิถีที่เป็นสากล
เจ้าของโจทย์จำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็น เจ้าของสวนปาล์ม เจ้าของโจทย์ที่เป็นเจ้าของไร่อ้อย เจ้าของโจทย์ที่เอาตัวที่เป็นมะเร็งไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วพบว่า ยาที่ตัวเองมีสิทธิได้เบิก ตอนนี้เบิกไม่ได้แล้ว เจ้าของโจทย์ไม่ใช่คนที่แต่งเพลงประเทศกูมี เพลงประเทศกูมีและคนแต่งมันเพียงแต่ไปฟังสิ่งที่คนทั้งหลายอยากจะพูดเต็มที่ แล้วก็มาร้องให้ฟัง
สิ่งที่ทำให้เศร้าใจมากคือ พื้นที่ที่เราจะพูดความจริงได้อย่างปลอดภัยมันหดแคบลงมาก ภายใต้ระเบียบอำนาจของคสช. พื้นที่ที่คุณจะพูดความจริงได้อย่างปลอดภัย พูดในสิ่งที่คุณเชื่อ และเห็นต่างจากผู้มีอำนาจได้อย่างปลอดภัยมันหดแคบลงมาก อันนี้คือที่มาของคำถาม ทำไมคนฮือเรื่องประเทศกูมี เพราะคุณไม่ให้พื้นที่เหล่านั้น พอมีคนพูดแบบนี้ก็ปิดทีวีเขามั่ง ปิดเว็บเขามั่ง
สิ่งที่ดำเนินไปเวลานี้มันทำให้คนอึดอัด ดังนั้น จำเป็นที่ผู้มีอำนาจต้องคืนพื้นที่ คืนการทะเลาะกันโดยปกติของสังคมอารยะให้แก่ผู้คน มันไม่มีสังคมอารยะที่ไหนไม่ทะเลาะกัน อารยะไม่ได้แปลว่าไม่ทะเลาะ อารยะแปลว่าทะเลาะกันอย่างสันติ เพราะเรายังมีเรื่องอีกเยอะมากที่ยังต้องคิด แล้ววิธีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้คือให้ทุกคนที่มีเดิมพันเป็นเจ้าของประเทศได้ออกมาแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยน ถกเถียงกันด้วยเหตุผล ด้วยข้อเท็จจริง เราไม่ได้ทำอย่างนี้มา 3-4 ปีแล้ว แต่ปัญหาพวกนั้นมันก็ไม่ได้หายไปไหน
คุณบังคับใช้มาตรการบางอย่างซึ่งทำให้คนบางกลุ่มแฮปปี้ คนกลุ่มอื่นไม่แฮปปี้ อะไรที่คุณแก้มา ปัญหาป่าเสื่อมโทรม ปัญหาราคาพืชผล ปัญหาสิทธิเสรีภาพ หรือปัญหาทั้งหลาย หาบเร่แผงลอย คุณใช้อำนาจฟันลงไป แล้วคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำเป็นกลาง ไม่เป็นกลางหรอก ในทุกปัญหาที่คุณฟันลงไปมันมีกลุ่มได้ประโยชน์กลุ่มเสียประโยชน์ แล้วคุณไม่ให้เขาพูด คุณทำอย่างนี้กับหลายปัญหามาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา
คนอัดอั้นตันใจเยอะมาก สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้คือ คืนพื้นที่ปกติให้สังคมมีเสรีภาพ มีความปลอดภัย ความมั่นคงที่จะเถียงกัน พูดถึงความจริงของปัญหาได้อย่างปกติ เหมือนคนในโลกเขา เราไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราต้องการพื้นที่เสรี ปลอดภัย เสมอภาค ในการทะเลาะกันเหมือนคนทั้งหลายในโลก คืนมาซักทีสิ เราจะได้เป็นผู้เป็นคน
พอถอดรหัสจากบทสัมภาษณ์ของเกษียรแล้ว สัญญาณจากแกนนำม็อบสองขั้วอย่างจตุพรและพุทธะอิสระ แทบจะไม่มีความหมาย เพราะกลายเป็นว่า ขบวนการทางความเชื่อและความคิดนั้นอาจไม่ได้ล่มสลาย แต่คำถามก็คือยังมีพลังที่จะปลุกระดมเพื่อก่อการในเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้อีกหรือไม่ ปุจฉานี้แม้แต่แกนนำเองก็ยังตอบคำถามไม่ได้
แต่หากมองไปยังสิ่งที่เกษียรได้อธิบาย และแน่นอนว่าอรชุนเคยบอกมาตลอด ม็อบธรรมชาติหรือม็อบกลุ่มความเดือดร้อนต่างหาก เป็นสิ่งที่ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตามหวาดกลัว แม้แต่รัฐบาลเผด็จการคสช. เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมาใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีทหารตำรวจไปหากันถึงประตูบ้าน ดังนั้น นอกจากปัญหาที่คนเหล่านั้นประสบไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังเป็นการปิดกั้นเพื่อไม่ให้ผู้เดือดร้อนที่แท้จริงได้สะท้อนปัญหาไปเสียฉิบ
อะไรก็ตามที่ถูกซุกไว้ใต้พรม เมื่อถึงเวลาระเบิดมันจะรุนแรงและยากที่จะหยุดยั้งได้ หากเผด็จการยังครองอำนาจอยู่ ก็ยากที่จะมีใครลุกขึ้นมาต่อสู้ได้ แต่ถ้ามีเลือกตั้งแล้วผู้นำเป็นคนหน้าเดิมและรัฐบาลชุดเดิม โดยที่ไม่มีกฎหมายพิเศษ มาตรายาวิเศษติดมือไปด้วย ไม่อยากนึกภาพต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นทำให้นึกถึงการไม่รับประกันว่าจะเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่ของ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกขึ้นมาทันที