สังคมข่าวหุ้น

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,617.33 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.30 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมเฉียด 4.7 หมื่นล้านบาท


นิวส์เวฟ

* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,617.33 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.30 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมเฉียด 4.7 หมื่นล้านบาท

* น่ากังวลไม่ใช่น้อยกับกรณีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำงวดเดือน ต.ค. ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานออกมา ปรากฏว่า ยอดรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ทุกประเทศ) ลดลงเหลือ 2.71 ล้านคน ปรับลดลง 0.5% จากปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยอดหดตัวหนักเกือบ 20% จบอยู่ที่เพียง 6.46 แสนคน ต่ำกว่าช่วงปีก่อนที่อยู่ระดับ 8 แสนคน ทั้ง ๆ ที่เมื่อช่วงต้นเดือน ต.ค. เป็น “โกลเด้นวีค” ที่ชาวจีนออกเดินทางท่องเที่ยวจำนวนมากแท้ ๆ นักลงทุนบางท่านอาจยังสงสัยว่า ทำไมกรณียอดนักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง ภาคการท่องเที่ยวไทย (โดยเฉพาะภาครัฐ) ถึงได้แสดงความร้อนรน เอ้ย! วิตกกังวลกันมากนัก เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นลองมาดูข้อมูลตัวเลขเปรียบเทียบอันนี้กัน ในงวดต.ค.ภาพรวมกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปทั้งหมด (รัสเซีย เยอรมัน ฝรั่งเศส และอื่น ๆ) มีตัวเลขรวมอยู่ที่ 4.58 แสนคน ขณะที่จีนมีทั้งหมด 6 แสนคน จึงหมายความว่า เฉพาะจีนประเทศเดียวมีปริมาณนักท่องเที่ยวมากกว่าคนยุโรปหลายชาติมัดรวมกันเสียอีก

* สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติรอบนี้ถือว่าพลิกโผความคาดหมายของนักวิเคราะห์หลายสำนัก รวมถึงความคาดหวังตลาดหุ้นเป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่เทมุมมองว่ากลับมาฟื้นตัวเป็นบวกหรืออย่างน้อยลดลงต่ำกว่างวดเดือน ก.ย. ที่ยอดคนจีนติดลบ 14% แต่เมื่อสถานการณ์ตรงกันข้าม (อย่างสิ้นเชิง) กลุ่มหุ้นที่อิงการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในวันนี้ ไม่ว่าจะหุ้นสายการบิน หุ้นสนามบิน หุ้นโรงแรม หรือแม้แต่กลุ่มพาณิชย์ที่มีสินค้าขายให้กับคนจีน ย่อมโดนเอฟเฟกต์ไปเต็ม ๆ ใครมีพอร์ตลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ อย่าลืมติดตามสถานการณ์กันด้วย

* หนักใจแทนคนเล่นหุ้น BANPU จริง ๆ ในยามภาวะตลาดหุ้นไทยทรุดพี่บ้านปูก็ดิ่งหนักกว่าตลาด ยามตลาดรีบาวด์พี่บ้านปูกลับดิ่งสวนทางเพิ่มเข้าไปอีก (เช่นเมื่อวานนี้ซัดลงไปกว่า 2%) ประเด็นที่น่าคิดอย่างยิ่ง ในเมื่อพื้นฐานบริษัทดี ปริมาณขายถ่านหินยังโต ราคาขายถ่านหินยังสวย แถม P/E หุ้นยังต่ำแค่ 11 เท่า และที่สำคัญปัจจัยลบคดีหงสาได้จบสิ้นปิดฉากผ่านไปเรียบร้อย ทุกอย่างดูดีแต่ราคาหุ้นกลับไม่หือไม่อือเลยสักนิด

* ปัจจุบันหุ้น BANPU ซื้อขายในราคาที่ใคร ๆ ก็เอื้อมถึงที่ระดับ 16 บาทกว่า มองเบื้องต้นน่าจะซื้อง่ายขายคล่อง-ราคาขยับไปได้สบาย แต่หลายคนคงลืมกันไปว่าบ้านปูเป็นหุ้นบลูชิพที่มีขนาดตัวใหญ่ไม่เบา โดยมีจำนวนหุ้นจดทะเบียนในตลาดฯ ทั้งสิ้นกว่า 5 พันล้านหุ้น และบางคนอาจไม่ทันสังเกตว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของบริษัท นั่นคือ “ไทยเอ็นวีดีอาร์” มียอดรวมทั้งหมด 417 ล้านหุ้น หรือเท่ากับ 8% (อิงข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบปิดสมุดทะเบียนงวด ก.ย. 2561) อันดับ 2 คือ น้ำตาลมิตรผล ถือ 288 ล้านหุ้น เท่ากับ 5% ส่วนตั้งแต่อันดับ 3-20 ถือกันตั้งแต่ 0.5-2% ดังนั้น ในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 20 อันดับแรก เท่ากับมีผู้ถือหุ้นใหญ่เกิน 5% เพียงแค่ 2 รายเท่านั้น

* เมื่อหุ้นขาดผู้ถือหุ้นใหญ่จึงส่งผลให้หุ้น BANPU เต็มไปด้วยผู้ถือหุ้นในลักษณะกองทุน สถาบัน และต่างชาติรวมตัวกันอยู่เป็นจำนวนมาก และนักลงทุนทุกคนก็คงทราบกันอยู่แล้วว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยตอนนี้เป็นเช่นไร กลุ่มสถาบันและต่างชาติ ยังเทขายอยู่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ (เมื่อวานรายย่อยเข้าซื้อสุทธิรายเดียว) เมื่อขาดแรงซื้อแล้วยังบวกกับกรณีไม่มีฐานผู้ถือหุ้นใหญ่ถือครองหุ้นมั่นคงแบบไม่เปลี่ยนแปลงสัดส่วน (ในทุกภาวะตลาด) จึงไม่น่าแปลกแล้วว่า ทันทีที่ฝั่งนึงเทขายหุ้นออกมา อีกฝั่งก็พร้อมเฮโลขายตามกันออกมา ราคาก็เลยทรุดตามไปติด ๆ เพราะทุกฝ่ายต่างต้องการลดความเสี่ยงทั้งสิ้น ดังนั้น คนที่มีหุ้นคงต้องยอมรับความจริงแหละว่า แม้พื้นฐานดีขนาดไหนหรือโบรกฯ จะเชียร์ซื้อแทบทุกสำนักก็ตาม แต่ถ้าถือครองแล้วหุ้นไม่สร้างผลตอบแทนให้เรา อาจถึงเวลา “ยอมตัดใจ” เปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวอื่นแทนดีกว่า ไม่อย่างนั้นเท่ากับเสียโอกาสลงทุนไปเปล่า ๆ

Back to top button