พาราสาวะถี
หากเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า และจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ตามคำยืนยันของ กกต.ว่ากรอบเวลา 90 วัน ที่ผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมืองยังไม่ถูกยกเลิก หมายความว่า ภายในวันนี้บรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายจะต้องหาพรรคสังกัด สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคึกคักกว่าใครเพื่อนหนีไม่พ้นพลังประชารัฐ พรรคของเผด็จการ คสช.
อรชุน
หากเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า และจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 ตามคำยืนยันของ กกต.ว่ากรอบเวลา 90 วัน ที่ผู้สมัครจะต้องสังกัดพรรคการเมืองยังไม่ถูกยกเลิก หมายความว่า ภายในวันนี้บรรดาเสือหิวเสือโหยทั้งหลายจะต้องหาพรรคสังกัด สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคึกคักกว่าใครเพื่อนหนีไม่พ้นพลังประชารัฐ พรรคของเผด็จการ คสช.
เพราะมีบรรดาอดีต ส.ส.ของเพื่อไทยหลั่งไหลมาร่วมก๊วน แหวกโผเซอร์ไพรส์กว่าใครเพื่อนคงเป็น อำนวย คลังผา อดีตประธานวิปรัฐบาลยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนหน้านั้นเคลื่อนไหวอัดใส่รัฐบาลเผด็จการมาตลอด จนกระทั่ง สุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรีคนบ้านเดียวกัน ยังบอกว่าคืนวันก่อนไปเปิดตัวกับพรรค คสช.ยังยืนยันกันอยู่เลยว่าไม่ย้ายไปไหน
แต่หากมองไปยังพื้นที่ของอดีตกำนันรายนี้ บวกกับสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญและคงจะไม่ต่างกันกับอดีต ส.ส.อีกหลายรายที่ย้ายสังกัดเพราะแรงกดดันจากปูมหลังของตัวเอง ที่น่าตลกที่สุดคงเป็นรายของ พันตำรวจโทไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชรที่มาพร้อมเพื่อนอดีต ส.ส.ร่วมจังหวัดทั้ง 5 รายเข้าคอกพลังประชารัฐ
ที่ทำเอาหลายคนหัวร่อทั้งน้ำตา คงเป็นคำพูดของอดีตนายตำรวจรายนี้ที่อ้างว่า อุดมการณ์ต่อต้านเผด็จการยังมีอยู่และขอโทษคนเสื้อแดงในพื้นที่ รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน แหม! เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า ยุคนี้เขาต่อต้านเผด็จการด้วยการไปร่วมพรรคการเมืองของเผด็จการ ฟังคำอธิบายแบบนี้ เลยเป็นการเปลือยธาตุแท้เห็นสันดานของนักการเมืองกันล่อนจ้อนเลยทีเดียว
ส่วนรายของ เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ลูกชาย บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ที่ติดคุกยาวจากคดีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี อดีตลูกน้องคนสนิทของ “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อธิบายกับสื่อด้วยน้ำตาคลอเบ้า เวลานี้ครอบครัวโฟกัสไปที่การรักษาพ่อให้หายจากการเจ็บป่วย แต่กลับถูกคนของพรรคนายใหญ่มาซ้ำเติม ว่าด้วยการให้การพาดพิงใครบางคนแลกกับการไม่ต้องนอนเรือนจำ
ถือเป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วไม่รู้ว่าจะสงสารหรือยังไงดี ในเมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่มีการกล่าวหายิ่งต้องอยู่เพื่อสู้ความจริง แต่พอเลือกที่จะหันหลังให้พรรคที่สร้างพ่อตัวเองมาจนเป็นรัฐมนตรี แล้วไปสังกัดพรรคของเผด็จการที่ถูกมองว่าใช้ทุกวิธีการเพื่อดูดอดีต ส.ส.ให้มาร่วมคณะ คนยิ่งคลางแคลงกันไปใหญ่ และยิ่งถ้ามีคดีที่นายใหญ่หรือเจ๊แดงถูกเล่นงานเพิ่มเติมขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยว่าสิ่งที่ลูกบุญทรงบอกว่ามีคนซ้ำเติมนั้น มันแค่ข้อกล่าวหาหรือมีมูลอย่างที่มีข่าวเล็ดลอดมา
น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพราะถ้าย้อนกลับไปดูข้อเขียนของ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เพื่อนซี้บุญทรง มีวลีที่ต้องขีดเส้นใต้ “บางเรื่องต้องปล่อยให้ตายไปพร้อมกับตัวเรา” แต่งานนี้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว พอเห็นน้ำตาลูกชายบุญทรงแบบนี้ ก็นึกถึงพ่อเมื่อคราวพรรคไทยรักไทย แล้วเจ้าตัวเป็นคนที่ไม่ได้ถูกเลือกให้ลงสมัครส.ส.ที่เชียงใหม่ก็ร้องห่มร้องไห้หนักไม่แพ้กัน
คงต้องจับตาดูเดดไลน์สุดท้ายวันนี้ จะมีบิ๊กเซอร์ไพรส์อะไรเกิดขึ้นกับพรรคของคณะเผด็จการหรือไม่ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภาพพลังดูดและการย้ายคอกของอดีต ส.ส.ที่เห็น คงจะเป็นบทพิสูจน์แล้วว่า การปฏิรูปการเมืองที่เผด็จการ คสช.พล่ามบอกผู้คนมาในห้วงระยะเวลาเกือบ 5 ปีที่ผ่านมานั้น พิสูจน์ได้แล้วว่าเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าหรือแค่หาเหตุยึดอำนาจแล้วก็ทำการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม
ต้องยอมรับว่าการวางแผนกลับมาสืบทอดอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น บรรดาเนติบริกรทั้งหลายต่างดำเนินการไปด้วยความแยบยลทุกขั้นตอน ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างประชานิยมจำแลงผ่านนโยบายประชารัฐและโครงการไทยนิยมยั่งยืน เรียกว่า 3 พี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์ได้แสดงบทบาทให้เป็นที่รู้จัก จดจำของคนรากหญ้าทุกกระบวนการ
โดย “พี่ใหญ่” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ใช้กลไกของกฎหมาย บวกอำนาจลายพรางเข้าไปจัดการปัญหาหนี้นอกระบบ เดินสายไปอีสานกันเป็นว่าเล่น เพื่อคืนโฉนดที่ดินที่ยึดได้จากนายทุนคืนให้กับผู้โชคดี นี่ถือเป็นการมัดใจกันไปชั่วลูกชั่วหลาน ขณะที่ “พี่รอง” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เป็นแกนหลักขับเคลื่อนไทยนิยมยั่งยืน และเพิ่งประกาศความสำเร็จของโครงการไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
เมื่อสร้างองคาพยพโดยวางบทบาทให้แกนนำที่ไว้วางใจได้ของหัวหน้าเผด็จการไปเดินเกม จึงเป็นที่มาของความมั่นใจว่าจะกำชัยชนะในสนามเลือกตั้งและได้กลับมาบริหารประเทศอีกกระทอกอย่างแน่นอน เมื่อบวกเข้ากับความใจถึงของหัวหน้าเผด็จการที่กล้าทุ่มงบประมาณสารพัดตามข้อเสนอของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล โดยเฉพาะการหว่านเม็ดเงินหนล่าสุดผ่านบัตรคนจน อธิบายอย่างไรมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือการซื้อเสียงล่วงหน้าชัด ๆ
ด้วยความพร้อมสรรพทุกขุมกำลัง จึงทำให้พรรคของนายใหญ่ต้องเหนื่อยหลายเท่าตัวกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจลึก ๆ ว่าฐานเสียงสำคัญในภาคเหนือและอีสานจะไม่เปลี่ยนใจ แต่ด้วยกลไกที่ถูกวางไว้และแรงบีบอันมหาศาล จึงทำให้กองเชียร์จำนวนไม่น้อยเริ่มหวั่นใจว่า เลือกตั้งหนนี้ไม่น่าจะง่ายเหมือนสองครั้งก่อนหน้าหลังการรัฐประหารของ คมช.
ยิ่งได้ฟังเรื่อง 350 เสียงที่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หลุดจากปากมาเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า แม้จะแก้ตัวไปแล้วว่าโอกาสเป็นไปได้ยาก แต่หากกลไกที่วางไว้ทำงานได้ผล บวกกับกลยุทธ์กดดันและใช้พลังดูดมหาศาล งานนี้ก็ไม่แน่เหมือนกัน ตัวเลขอาจไม่สูงถึงขนาดนั้น แต่มันก็จะมากพอที่เมื่อไปรวมกับเสียงของ ส.ว.ลากตั้งแล้ว จะยกมือหนุนหัวหน้าเผด็จการมาสืบทอดอำนาจ สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่าพรรคการเมืองที่ไม่ใช่เครือข่าย คสช. กล้าแค่ไหนที่จะยืนซดกับกลเกมของเผด็จการที่วางเอาไว้