พาราสาวะถี

คงต้องดูกันว่าการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร จะหยุดอาการเลือดไหลของพรรคได้หรือไม่ หลังจากอดีตส.ส.บิ๊กเนมของพรรคหลายรายไขก๊อกหันไปซบพลังประชารัฐ งานนี้เจ้าตัวลั่นจะทำให้ฝ่ายปล้นประชาธิปไตย รวมถึงพวกที่ตีจากเพราะเห็นแก่อามิสทั้งหลายได้รู้และเข็ดหลาบว่า การปล้นประชาธิปไตยอาจทำได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่ออำนาจกลับคืนสู่มือของประชาชนเมื่อไหร่ เตรียมตัวได้ยินคำว่า “มันจบแล้วครับนาย” ได้เลย


อรชุน

คงต้องดูกันว่าการสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ “ลูกโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร จะหยุดอาการเลือดไหลของพรรคได้หรือไม่ หลังจากอดีตส.ส.บิ๊กเนมของพรรคหลายรายไขก๊อกหันไปซบพลังประชารัฐ งานนี้เจ้าตัวลั่นจะทำให้ฝ่ายปล้นประชาธิปไตย รวมถึงพวกที่ตีจากเพราะเห็นแก่อามิสทั้งหลายได้รู้และเข็ดหลาบว่า การปล้นประชาธิปไตยอาจทำได้แค่ชั่วคราว แต่เมื่ออำนาจกลับคืนสู่มือของประชาชนเมื่อไหร่ เตรียมตัวได้ยินคำว่า “มันจบแล้วครับนาย” ได้เลย

ท่วงทำนองเช่นนี้อาจสร้างความหมั่นไส้ให้ฝ่ายตรงข้าม และกลายเป็นเป้าถูกโจมตีได้โดยง่าย แต่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ใหม่ ๆ หมาด ๆ อย่าง สมชัย ศรีสุทธิยากร ก็ได้โพสต์ต้อนรับลูกโอ๊คด้วยความเป็นมิตร โดยมีการกระทบกระเทียบไปถึงใครบางคนด้วย คนมีเงินมาลงการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลก “ดีเสียอีกที่เปิดหน้าเล่น” ดีกว่าอีกมากที่แอบหนุนหลังสนับสนุนทุกฝ่ายที่คาดว่าจะมีอำนาจเพื่อปกป้องธุรกิจของตัวเอง การเล่นการเมืองแบบเปิดหน้าจึงหมายถึงความกล้าหาญ กล้าแสดงตัว และพร้อมที่จะถูกวิจารณ์ตรวจสอบ

ถือเป็นการเปิดตัวของสองนักการเมืองหน้าใหม่ต่างขั้วที่มีเสียงวิจารณ์กันไปคนละด้าน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องในอดีตที่ผ่านมาก็จะเป็นบทพิสูจน์สิ่งซึ่งดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ถนนสายประชาธิปไตยที่มีผู้ใช้สิทธิ์ 40 ล้านเสียงจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแบบไหน ยังคงอยู่ภายใต้เผด็จการจำแลงสืบทอดอำนาจต่อไปหรือจะไหลกลับไปอยู่ในมือของพรรคของ ทักษิณ ชินวัตร

ความคึกคักอันเกิดขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐเป็นสิ่งที่ใครก็คาดการณ์กันได้ ในเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ผู้สมัครเกรดเอได้รับการดูแลขั้นเทพ มิหนำซ้ำ ยังไม่ต้องเสี่ยงที่จะถูกจับแพ้ฟาวล์หลังการเลือกตั้ง นักการเมืองอาชีพที่ถนัดกับการเปลี่ยนพรรคมากกว่าจะยึดอุดมการณ์โดยไม่มีกิน จึงตัดสินใจกันได้ไม่ยาก ไม่ต่างจากพวกที่มีคดีความติดตัวภายใต้อำนาจเผด็จการยิ่งทำให้ทุกอย่างง่ายกว่าพลิกฝ่ามือ

ถูกอย่างที่พานทองแท้ว่า หากมองอย่างเข้าใจก็เห็นว่าหลายคนมีความจำเป็นที่จะต้องไหลออกจากพรรคเดิม เพื่อรักษาอนาคตของตัวเองและชีวิตครอบครัวเอาไว้ แต่บางคนก็เห็นอามิสสำคัญกว่าศรัทธาและอุดมการณ์ นักการเมืองประเทศไทยประเภทหลังมีให้เห็นกันดาษดื่น จึงทำให้ย้อนกลับไปดูข้อเรียกร้องของม็อบชัตดาวน์ ปฏิรูปการเมืองให้ดีกว่าเดิม นี่หรือคือความเปลี่ยนแปลง

ยิ่งได้ฟังคำพูดอันสวยหรูของแกนนำบางราย หากปฏิรูปไม่สำเร็จไม่ต้องเลือกตั้ง วันนี้กับสิ่งที่เห็นน่าจะเป็นการยืนยันแล้วว่า น้ำลายของคนที่พ่นออกไปนั้นมันแปลเป็นสัจจะที่เชื่อถือได้แค่ไหน นอกจากจะกลืนน้ำลายตัวเองแล้ว ยังกระเตงอุ้มเผด็จการให้สืบทอดอำนาจกันแบบหน้าชื่นตาบาน คงต้องสมน้ำหน้ากันเองสำหรับประชาชนคนที่หลงเชื่อ ซึ่งหลายรายได้คืนนกหวีดไปแล้ว ลงทุนบริจาค ลงแรงไปปิดบ้านปิดเมือง สุดท้ายก็ให้คนเหลิงอำนาจได้เสวยสุขกันสำราญใจ

ยังมีคำถามคาใจทำไมสมชัยจึงเลือกไปอยู่กับประชาธิปัตย์ หากลองทบทวนตอนเกิดม็อบชัตดาวน์ และการสร้างความปั่นป่วนจนการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 ถูกสั่งให้เป็นโมฆะก็อดีตกกต.รายนี้เองมิใช่หรือที่มีส่วนในการแสดงบทบาทนำเป็นคณะกรรมการไม่อยากเลือกตั้ง ภาพถ่ายคู่หอเอนปีซ่ากับวลี “ทำการใหญ่ให้ต้องเอียง” ยังคงติดตรึงอยู่ในสำนึกของใครหลายคน

ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจที่เหล่าผู้คนที่สมคบคิดล้มรัฐบาลที่ถูกอุปโลกน์ว่าเป็นพวกระบอบทักษิณ พร้อมวาทกรรมเผด็จการรัฐสภา จะไหลมารวมกันและน่าจะเป็นการเติมเต็มคำถามอันเป็นคำตอบจากการเฉลยของ นคร มาฉิม เมื่อไม่นานมานี้ได้เป็นอย่างดี ที่น่าหัวร่อคือเกลียดเผด็จการรัฐสภาแต่ตัวเองกลับถูกรัฐสภาเผด็จการเล่นงานจนต้องถูกเซตซีโร่ ก่อนที่จะถูกมาตรายาวิเศษเขี่ยตกเก้าอี้

ขณะที่หัวหน้าม็อบผู้ยอมตระบัดสัตย์โดยอ้างภารกิจเพื่อชาติ การเดินคารวะแผ่นดิน เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นแล้วว่า อะไรก็ตามแต่ที่ไร้การจัดตั้งหรือสมคบคิด มิหนำซ้ำ เมื่อเวลาผ่านและได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ทำไปนั้นสร้างผลเสียหายมากกว่าก่อให้เกิดผลดี คนที่ตาสว่างย่อมแปรสภาพจากมิตรกลายเป็นศัตรู จากผู้ที่เคยแห่แหนไปเป่านกหวีด กลายเป็นกลุ่มคนที่เอือมระอากับพฤติกรรมอย่างหนาของพวกไม่รักษาคำพูด

หลังเห็นความคึกคักของพรรคสังกัดเผด็จการกันแล้ว การนัดหารือระหว่างคสช.กับพรรคการเมืองในวันที่ 7 ธันวาคมนี้ คงไม่ต้องมีอะไรมาแทงกั๊กกันอีกแล้ว ถึงเวลาต้องปลดล็อให้พรรคการเมืองได้ทำกิจกรรมกันอย่างเต็มที่เสียที ที่ทำกันอยู่ข้างเดียวก็จะไม่ต้องถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบเพื่อน ขณะที่การหาเสียงซื้อเสียงล่วงหน้าก็น่าจะสร้างความได้เปรียบคู่แข่งมหาศาลอยู่แล้ว

ส่วนข้ออ้างเรื่องความมั่นคง บอกไปตั้งนานว่านั่นแค่ปมหาเหตุเพื่อที่จะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกดทับคู่แข่งทางการเมือง เพราะแม้จะมีการปลดล็อกแต่กฎหมายพิเศษต่าง ๆ ยังอยู่ครบ รวมไปถึงม.44 จึงไม่มีเหตุผลใดจะต้องมากังวล เว้นเสียแต่ว่าไม่อยากให้คนของบางพรรคได้เคลื่อนไหวก็อีกเรื่อง แต่ถ้าคิดจะเป็นใหญ่คงต้องหัดใจกว้างกันบ้างแล้ว

แน่นอนว่า การหารือที่จะเกิดขึ้น ไม่น่าจะคุยกันแค่ว่าปลดล็อคได้แล้วหรือยัง ควรจะต้องย้ำกันให้ชัด ๆ ในที่ประชุมจะเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ปีหน้าจริงหรือไม่ อย่าได้โยนไปให้กกต. เพราะองค์กรอิสระแห่งนี้ได้โยนมาให้เป็นภาระการตัดสินใจขององคาพยพเผด็จการและวงหารือร่วมกับพรรคการเมืองไปแล้ว ความจริงถ้าพลิกกลับไปดูข้อกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติของกกต.ประการหนึ่งคนเหล่านี้น่าจะพ้นจากตำแหน่งไปเสีย เนื่องจากหนึ่งในสิ่งที่คนที่จะมาทำงานต้องมีคือความกล้าหาญในการตัดสินใจ

จะอ้างว่าอำนาจเผด็จการกดทับอำนาจของตัวเองไว้อยู่ ฟังดูยังไงก็ไร้น้ำหนัก เพราะฝ่ายเผด็จการก็โยนให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งมาเป็นอำนาจของกกต.ทั้งหมด ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งพอเข้าใจได้ว่าถูกคนของเผด็จการเลือกมาบุญคุณคือส่วนหนึ่ง แต่คุณธรรมและความซื่อสัตย์ในการปฏิบัติหน้าที่ต้องเหนือสิ่งอื่นใด หากยังไม่กล้าที่จะมีสองสิ่งนี้ก็ไม่ควรที่จะมีหน้าอาสามาทำงานแบบนี้ และมีแต่จะทำให้องค์กรมัวหมองลงไปเรื่อย ๆ

Back to top button