อย่าดูเบาโลกาภิวัตน์ขี่พายุ ทะลุฟ้า
คุณลักษณะเด่นอย่างหนึ่งในสังคมไทยเรา นั่นก็คือนิยมชมชื่นในการใช้อำนาจหรือพึ่งพาการล็อบบี้ มากกว่าจะมุ่งแก้ไขทางตรงไปที่ตัวปัญหา
คุณลักษณะเด่นอย่างหนึ่งในสังคมไทยเรา นั่นก็คือนิยมชมชื่นในการใช้อำนาจหรือพึ่งพาการล็อบบี้ มากกว่าจะมุ่งแก้ไขทางตรงไปที่ตัวปัญหา
ใช่! มันใช้ได้เลยกับสังคมไทย ที่กำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านจากเก่าสู่ใหม่เวลานี้ แต่กับการแก้ปัญหาที่มีส่วนเกี่ยวพันกับต่างประเทศ ก็ขอบอกได้เลยว่า คงจะเอาความเคยชินแบบไทยๆ ไปใช้แก้ปัญหาไม่ได้หรอก
กรณี ICAO หรือองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ ขึ้นธงแดง ไม่ยอมรับรองแผนแก้ไขของกรมการบินพลเรือนไทย คืออุทาหรณ์นั้น
เขาให้เวลาเรา 90 วันในการแก้ปัญหา หลังจากที่ทางการญี่ปุ่น ไม่ยอมให้สายการบินจากไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากบ.พ. (ยกเว้นการบินไทย) บินเข้าญี่ปุ่น
ปัญหาก็คือ ช่วง 90 วันนี้ เราทำอะไรให้ ICAO ยอมรับแผนแก้ไขข้อบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญ (SSC)
ก็เห็นความตื่นตัวอยู่บ้างนะครับ แต่การแก้ปัญหาจริงๆ ดูจะฝากความหวังเอาไว้กับการล็อบบี้เป็นหลัก
ส่วนจะแก้ไขที่ตัวปัญหาจริง ในการเพิ่มบุคลากรตรวจสอบในปัญหาคุณภาพการบินด้านต่างๆ ตลอดจนสนามบินในประเทศไทย มีข้อบกพร่องหรือไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอย่างไร ก็คงจะทำน้อยเกินไปอย่างเขาว่าแหละนะ
เพราะไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ยกระดับการเตือนเรื่องปัญหาความปลอดภัยเป็นรายสมาชิกมาเป็นการประจานไปทั่วโลกหรอก
หลังจากเราส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปล็อบบี้ทั้งที่ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน จนมาถึงประธาน ICAO ที่แคนาดาแล้ว เราก็มานั่งมโนนึกเอาเองว่า ในที่สุดก็คงผ่านด่าน ได้รับความเห็นใจอยู่ดีแหละนะ
ตอนไปญี่ปุ่น ฝ่ายเจรจาของญี่ปุ่นก็เอาแต่อาโน้…อาโน้…ไม่ให้ความเห็นอะไรเลย แต่ผู้แทนไทยก็กลับมานั่งมโนเอาเองว่า การเจรจากับญี่ปุ่นได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
ยิ่งมาคราวนี้ ทางฝ่ายไทยหงายผึ่งไปเลย เพราะรมช.อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ยังส่งข่าวผลการเจรจากับประธานไอเคโอว่าเป็นที่เรียบร้อยดี สมความปรารถนาทุกประการ
แต่ยังไม่ทันเครื่องบินที่รมช.อาคมเดินทางกลับจะลงแตะสนามบินสุวรรณภูมิ ประธานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศก็ประกาศสัญลักษณ์ธงแดงหน้าชื่อประเทศไทย
เล่นเอารมว.พล.อ.อ.ประจิน จั่นตองเป็นงง ถึงกับเพ้อครวญว่า ไม่รู้เป็นความเข้าใจผิดทางการสื่อสารช่วงรมช.อาคมเจรจากับประธาน ICAO หรือช่วงรมช.อาคมสื่อสารมายังตนที่เมืองไทยกันแน่
แต่ก็เอาล่ะครับ ไหนๆ ปัญหาก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้ ก็คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ภาวนาให้สายการบินไทยที่เคยถูกห้ามบินลงในญี่ปุ่น เกาหลี หรือจีน ได้ใช้ใบอนุญาตจากประเทศของสายการบินแม่ หรือสายการบินพันธมิตรให้รอดพ้นจากคำสั่งห้ามบางประเทศได้
ส่วนการบินไทย ที่รอดพ้นจากคำสั่งห้ามที่ญี่ปุ่น เพราะเป็นสายการบินที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากประเทศชั้นนำทั้งในอเมริกาและยุโรป ก็ขอให้แคล้วคลาดตลอดไป ไม่เช่นนั้นจะยิ่งซ้ำเติมความบักโกรกของการบินไทยขนานหนัก
สำหรับบริษัทท่าอากาศยานไทย ก็ได้รับผลกระทบทางอ้อมไปด้วย ทันทีที่ข่าวจากแคนาดามาถึง หุ้นที่บวกอยู่ดีๆ ถึง5บาทในช่วงเช้า ก็ร่วงถลากลายเป็นติดลบถึง 10 บาทในช่วงบ่าย
AOT หรือบริษัท ท่าอากาศยานไทย ก็ต้องทำการชี้แจงต่อสาธารณชนให้ดีนะครับว่า คำสั่ง ICAO คราวนี้ เขาไม่ได้ตำหนิสนามบินไทยไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย แต่ตำหนิการควบคุมที่ไร้มาตรฐานของกรมการบินพลเรือนไทย
เรื่องกิจการการบินระหว่างประเทศ เป็นเรื่องของโลกาภิวัตน์ที่เกี่ยวพันกับชีวิตความปลอดภัยของมวลมนุษยชาติ คงจะใช้วิธีคิดมโนนึกแบบไทยๆ ว่า ไปล็อบบี้คนโน้นคนนี้แล้วก็คงจะได้ผล
หรือร้ายที่สุดคิดอะไรไม่ออก ก็ยังงัดเอามาตรา 44 ยาสารพัดนึก มาร่วมผนึกเสริมกำลังด้วย
กรณีนี้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกับการมโนนึกเรื่องจะเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ โดยการเบี้ยวโรดแม็พ ที่กลายเป็นสัญญาประชาคมต่อชาวโลกไปแล้ว