EASTW รับรายได้ปีนี้ทรงตัว 4.3 พันลบ. หลังฝนชุกกระทบปริมาณขาย
EASTW รับรายได้ปี 61 ทรงตัว 4.3 พันลบ. หลังฝนชุกกระทบปริมาณขาย พร้อมกางแผนปี 62 ทุ่มงบพันลบ.พัฒนาระบบขายน้ำในพื้นที่ EEC
นายชรินทร์ โซนี่ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายพัฒนาธุรกิจ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 61 จะทรงตัวจากระดับ 4.3 พันล้านบาทในปีก่อน เป็นผลมาจากมีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก ทำให้ลูกค้าผู้ใช้น้ำสามารถเข้าถึงแหล่งน้ำได้สะดวกมากขึ้น กระทบต่อความต้องการใช้น้ำลดลงและกระทบต่อปริมาณการขายน้ำดิบในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบราว 60% และจากธุรกิจการจำหน่ายน้ำประปา 25-30% และรายได้อื่น ๆ 10%
อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อว่ารายได้ปี 62 สามารถฟื้นตัวได้จากปริมาณการขายน้ำมากขึ้น เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศซึ่งระบุว่าปริมาณน้ำฝนจะลดลงกว่าปกติ ทำให้แนวโน้มความต้องการใช้น้ำสูงขึ้นจากปีนี้ ซึ่งคาดว่าปริมาณการขายน้ำจะอยู่ที่ 260 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร
พร้อมกันนี้บริษัทวางงบลงทุนราว 1 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบการจำหน่ายน้ำใน 3 จังหวัดในพื้นที่เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นพื้นที่หลักในการพัฒนาธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ดีบริษัทยังมองโอกาสในการขยายธุรกิจไปในจังหวัดอื่น ๆ ด้วย แต่ยังจำเป็นต้องพิจารณาความเหมาะสมในการเข้าลงทุนและความแข็งแกร่งของบริษัทด้วย
นอกจากนี้บริษัทเตรียมเปิดโครงการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ค่อนข้างมากโดยไม่ต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าแล้ว 1 ราย และยังมีการเจรจากับลูกค้าในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ คาดว่าจะสามารถเปิดเผยชัดเจนได้ภายในไตรมาสที่ 1/62
ขณะเดียวกันบริษัทมีการจำหน่ายน้ำควบคุมคุณภาพสูง ซึ่งมีความเสถียรและสามารถใช้งานได้ดีกว่าน้ำดิบจากธรรมชาติ โดยมองว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ ซึ่งในระยะถัดไป 3-5 ปีบริษัทมีแผนเพิ่มน้ำหนักในธุรกิจดังกล่าวมากขึ้นจากสามารถทำอัตรากำไรได้ดีกว่าเดิม ปัจจุบันมีการลูกค้าแล้วจำนวน 2 สัญญา ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการในเชิงพาณิชย์ได้ในปี 63 และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF คาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 64
ส่วนปัจจัยการเลือกตั้งในปี 62 มองว่าจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากมองว่าผู้ประกอบการในโครงการต่าง ๆ จะดำเนินการตามแผนได้อย่างชัดเจนและไม่ล่าช้า ซึ่งเชื่อว่าถึงแม้มีการเลือกตั้งหรือไม่นั้น บริษัทจะยังเติบโตได้อย่างแน่นอน