ยุทธการในมุมอับ
สัปดาห์แห่งข่าวดีสิ้นเดือนพฤศจิกายน ที่ส่อเค้าว่าเดือนธันวาคมอาจจะมีปรากฏการณ์ ซานต้า คลอส แรลลี่ ในตลาดหุ้นทั่วโลกให้เห็นส่งท้ายปี กลายเป็นเรื่องของ “ลิงหลอกเจ้า” ไปเรียบร้อย เมื่อข่าวร้าย 2 ข่าว ประดังกันเข้ามาที่พร้อมทุบดัชนีตลาดหุ้นลงไปหาแนวรับต่ำกว่าเดิมได้อีก
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
สัปดาห์แห่งข่าวดีสิ้นเดือนพฤศจิกายน ที่ส่อเค้าว่าเดือนธันวาคมอาจจะมีปรากฏการณ์ ซานต้า คลอส แรลลี่ ในตลาดหุ้นทั่วโลกให้เห็นส่งท้ายปี กลายเป็นเรื่องของ “ลิงหลอกเจ้า” ไปเรียบร้อย เมื่อข่าวร้าย 2 ข่าว ประดังกันเข้ามาที่พร้อมทุบดัชนีตลาดหุ้นลงไปหาแนวรับต่ำกว่าเดิมได้อีก
ข่าวแรก เมิ่ง ว่านโจว รองประธาน และ ซีเอฟโอ ของบริษัทยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมระดับโลกของจีน หัวเว่ย Hauwei Technologies แถมยังเป็นลูกสาวของผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัทดังกล่าว ถูกจับกุมในแคนาดาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งจับตามหมายศาลนิวยอร์ก
แม้รายละเอียดใด ๆ ว่าข้อหาอะไร ยังไม่ชัดเจน เนื่องจาก Meng ขอให้ตำรวจงดให้ข่าว แต่จะมีการพิจารณาขอประกันตัววันที่ 7 ธันวาคมนี้ แต่สื่อในสหรัฐฯ ระบุว่าเกี่ยวกับคำสั่งละเมิดมาตรการลงโทษต่ออิหร่านของสหรัฐฯ
มีความเป็นไปได้ว่า เธออาจถูกส่งตัวมาดำเนินคดีในสหรัฐฯ ตามรายงานของสื่อสหรัฐฯ แต่จีนได้ยื่นประท้วงด่วนไปที่แคนาดา ขอให้ปล่อยตัวเธอในทันที
ข่าวร้ายที่ถล่มดัชนีดาวโจนส์เกือบ 800 จุด เกิดจากนักลงทุนวิตกต่อการที่ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากภาวะ inverted yield curve ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว และมักบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะตามมา
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เกิดภาวะ inverted yield curve เมื่อวันอังคาร ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอายุ 2 ปีอยู่สูงกว่าพันธบัตรระยะยาว 5 ปีโดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี อยู่ระดับ 2.795% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.777%
ขณะเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 2.896% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.143% ปรับตัวอยู่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ราคาพันธบัตร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกัน การที่อัตราผลตอบแทนต่ำลง สะท้อนว่าราคาพันธบัตรมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากการย้ายพอร์ตลงทุนจากหลักทรัพย์อื่นเช่นหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ มาสู่ตราสารหนี้มากขึ้นเพราะตลาดผันผวนมากขึ้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับตัวค่อนข้างมีเสถียรภาพในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ขณะที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และเจ้าหน้าที่เฟดทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยกำหนดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว โดยนักลงทุนจะทำการคาดการณ์ว่าพวกเขาควรจะได้รับการชดเชยมากกว่าเงินเฟ้อเท่าใดในการถือครองพันธบัตรเป็นเวลาหลายปี
ขณะเดียวกัน นักลงทุนมีความไม่มั่นใจต่อแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่มีข่าวว่า นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าฝ่ายสหรัฐฯ โดยนายไลท์ไฮเซอร์นับเป็นผู้ที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีน
ความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่ออนาคตทางเศรษฐกิจจะยิ่งเลวร้ายลง เมื่อการจัดฉากจับกุมผู้บริหารของหัวเว่ย ได้กลายสภาพเป็นสงครามจิตวิทยา ทำนองเดียวกับดราม่าภาพยนตร์สุดฮิตที่คนติดงอมแงมทั่วโลกของ Netflix ที่ชื่อ Madam Secretary นำแสดงโดยเทอา เลโอนี
เหตุผลเพราะยุทธการที่สหรัฐฯ เลือกใช้ในกรณีดังกล่าวคือ ยุทธการในมุมอับ
เป็นที่รู้กันดีว่า “วาระแห่งอนาคต” (ที่ถือว่าสำคัญเทียบเคียงกับนโยบายเดินหน้ารวมชาติกับไต้หวันในอนาคต) ที่สี จิ้น ผิงได้รับฉันทานุมัติจากสภาประชาชนจีนเมื่อปลายปีก่อนคือ การยกระดับให้จีนเป็นเจ้าเทคโนโลยีของโลก โดยใช้แนวคิดการพัฒนาใหม่ที่เน้นวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โปร่งใส และกระจายประโยชน์ ทำให้เป้าหมายของยุคสมัยของ สี แตกต่างจากเหมา เจ๋อ ตง และเติ้ง เสี่ยว ผิง ชัดเจน
ความชัดเจนในยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของจีน ทำให้สหรัฐฯ ถือว่าจีนเป็น “ศัตรูทางยุทธศาสตร์” (strategic rival) ทันที เพราะหากจีนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ สหรัฐฯ ก็จะหมดอิทธิพลลงทันทีทั้งทางทหาร และเศรษฐกิจ เกิดภาวะ “กระแสลมพัดกลับบูรพา” ระลอกใหม่ ด้วยการ “โยนทิ้งภาพลวงตา” จากการพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลจากภายนอก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นเจ้าโลกใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามที่ระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ Made In China 2025 ที่เชื่อกันว่า เป็นยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ รู้สึก “ขุ่นเคือง” มากที่สุด เพราะหากจีนบรรลุได้ จะกระเทือนถึงบริษัทอเมริกันโดยตรงถึงรากฐาน
ที่ผ่านมา นักยุทธศาสตร์ระดับโลกหลายกลุ่มมองว่า ความพยายามขัดขวางเส้นทางจีนของสหรัฐฯ นอกจากจะไม่บรรลุเป้าแล้ว จะได้ผลมุมกลับ เกิดเป็นตัวเร่งเร้าให้จีนทุ่มเทมากขึ้นในการพึ่งพาตนเอง (คล้ายบทเรียนจากเมื่อครั้งจีนสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้เมื่อหลายทศวรรษก่อน จากอดีตนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ เชื้อสายจีนเอง) อาจจะเกิดเป็น “วัฏจักรชั่วร้าย” สำหรับอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง
สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายยุทธศาสตร์นั้น ล่าสุดหลายเดือนก่อน บทวิจัยของธนาคารซิตี้แบงก์แห่งนิวยอร์กยอมรับว่า มี 5 อุตสาหกรรม ที่จีนจะเป็นเจ้าเทคโนโลยีโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในอีกไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า และอีก 5 อุตสาหกรรม จีนสามารถใช้การอุดหนุนจากรัฐผสมแรงเสริมอื่นจากตลาดขนาดใหญ่ภายในประเทศ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกได้ ไม่ว่าอเมริกาจะขวางแค่ไหนก็ยาก
หัวเว่ย เป็นบริษัทใน 5 กลุ่มแรก เพราะนับแต่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1987 โดยเหริน เจิ้งเฟย ปัจจุบันมีธุรกิจหลักแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ กลุ่มเครือข่ายโทรคมนาคม กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับภาคธุรกิจและองค์กร และกลุ่มอุปกรณ์สื่อสารสำหรับผู้บริโภค โดยมีพนักงานรวมทั้งหมดกว่า 110,000 คนทั่วโลก นอกจากนี้ หัวเว่ยยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอีกกว่า 20 แห่งทั่วโลก แม้ว่าในปัจจุบันบริษัทยังเป็นบริษัทจำกัด ที่ไม่ขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป แต่กระจายหุ้นให้เฉพาะกับพนักงานบริษัท
เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ภาพลักษณ์ของหัวเว่ยก็ยังเป็นสมาร์ตโฟนจีน แต่ตอนนี้หัวเว่ยก้าวมาอยู่แถวหน้า จากยุทธศาสตร์เด่น 4 ด้านพร้อมกันคือ 1) co-branding ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับแบรนด์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลก สร้าง Huawei P9 เป็นพรีเมียมแบรนด์ 2) ผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม ใส่ใจในการออกแบบ 3) จริงจังเรื่องการค้นคว้าวิจัย 4) มีเทคโนโลยีหน่วยประมวลผลของตัวเอง
เพทุบายของสหรัฐฯ ในการใช้ยุทธการมุมอับเพื่อเล่นงานจีน โดยอ้างถึงมาตรฐานอเมริกันที่ผิดประหลาด เป็นแค่ความพยายามซื้อเวลายืดอายุขาลงของจักรวรรดิอเมริกาที่เคยครองความยิ่งใหญ่มานานกว่า 70 ปี มีคำถามว่าจะสามารถหยุดยั้งการเถลิงอำนาจของจีนได้แค่ไหน ยังเป็นโจทย์ที่ยากจะตอบทันที ท่ามกลางความง่อนแง่นของเศรษฐกิจอเมริกัน ที่รออยู่ข้างหน้า
มายากลของทรัมป์และพวกที่ก่อสงครามการค้าเพื่อกลบเกลื่อนจุดอ่อนด้อยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถพาคนอเมริกันออกจากมุมอับได้สง่างาม หรือ ติดกับดักในมุมอับแบบหมากตาจน น่าติดตามกัน
แม้จะพอคาดเดาได้บ้างว่าจบลงแบบ “ศพไม่สวย” ค่อนข้างแน่