พิษ”เรือล่มภูเก็ต”ฉุดนักท่องเที่ยวจีนหด! หุ้นการบิน-โรงแรมเดี้ยงหนัก
ย้อนรอยข่าวร้อนข่าวดังปี 61 – พิษ“เรือล่มภูเก็ต”ฉุดนักท่องเที่ยวจีนหด!หุ้นสายการบิน-โรงแรมทรุด เศรษฐกิจไทยพังยับ
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและคัดเลือกข่าวประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในปี 2561 เพื่อนำมานำเสนอให้นักลงทุนได้อ่านอีกครั้ง โดยวันนี้จะนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับเหตุการณ์“เรือล่มที่ภูเก็ต”ซึ่งได้กลายเป็นฉนวนเหตุที่ทำให้ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยซบเซาและกระทบต่อธุรกิจในตลาดหุ้นอย่างหนัก
โดยภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวภาครัฐได้เป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นและได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ออกมาปราบทัวร์ด้อยคุณภาพและไม่ได้มาตรฐาน และส่งผลให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกิดความกังวลว่าภาครัฐจะมีมาตรปราบทัวร์ศูนย์เหรียญรอบใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ ความกังวลดังกล่าวเริ่มสะท้อนชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติชาวจีนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากตัวเลขเป็นบวกต้องกลายมาเป็นติดลบ ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นปัญหาผลลูกโซ่สู่ธุรกิจในตลาดหุ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะรายได้และราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจสายการบิน,โรงแรม และหุ้นค้าปลีกที่เกี่ยวเนื่องกับนักท่องเที่ยวจีนทรุดลงอย่างหนัก
“แน่นอนปัญหาดังกล่าวทำให้ภาครัฐนั่งไม่ติดเก้าอี้และได้สั่งคลอดมาตรการหลายด้านเพื่อเป็นยาแรงกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาสดใสดังเดิมอีกครั้ง” โดยเหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้างจะนำมาเรียบเรียงให้นักลงทุนได้ทราบดังต่อไปนี้
ย้อนรอยกลับไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เกิดพายุฝนและลมกระโชกรุนแรงที่ จ.ภูเก็ต ตามคำเตือนของการพยากรณ์อากาศจากหน่วยต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเตือนห้ามนำเรือเล็กออกนอกฝั่ง แต่เจ้าของเรือไม่สนคำเตือน จนในที่สุดเกิดเหตุระทึกมีเรือล่ม 3 จุด โดยสองจุดแรกมีผู้โดยสาร 39 ราย ลูกเรือ 2 ราย ช่วยเหลือได้ทั้งหมด
ส่วนจุดที่ 3 เรือ“ฟีนิกซ์ พีซีไดฟ์วิ่ง”ถูกคลื่นลมซัดเรือล่มกลางทะเลบริเวณเกาะเฮ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวจีนที่กลับจากดำน้ำ 105 คน ได้จมหายไปพร้อมกับเรือ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 47 ราย และบาดเจ็บ 37 ราย
10 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่ง เกี่ยวกับเหตุเรือล่มว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนจีนทำนักท่องเที่ยวจีนเอง สร้างเรือเอง ไม่ทำตามกฎของเรา แล้วจะให้เราเรียกอะไร ก็มันเป็นเรื่องของเขา”
แน่นอนภายหลังการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวคนจีนจำนวนมากแสดงความไม่พอใจต่อการสัมภาษณ์ในครั้งนี้จน พลเอก ประวิตร ได้ออกมาขอโทษคนจีนในท้ายที่สุดโดย พลเอก ประวิตร อ้างว่าได้รับรายงานมาเช่นนั้น แต่นั่นก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มหดหาย
ด้านพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงเรื่องที่เกิดขึ้นและได้สั่งให้ตำรวจปราบทัวร์ด้อยคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ให้รื้อระบบนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากรูปแบบ“ทัวร์ศูนย์เหรียญ”แม้จะไม่สามารถหยุดความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้ในทันที แต่ต้องไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก และกำหนดมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ
ส่วนพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้นำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบริษัททัวร์ในจังหวัดภูเก็ตจำนวน 11 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเป็นเครือข่ายบริษัทนำเที่ยวที่มีคนไทยเป็น “นอมินีต่างชาติ” ที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจทัวร์นำเที่ยวไม่ได้มาตรฐาน
จากการลงพื้นที่และการรายงานของเจ้าหน้าที่ส่งผลให้มีกระแสว่าภาครัฐจะออกมาปราบทัวร์ศูนย์เหรียญรอบใหม่ โดยในช่วงบ่ายวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ราคาหุ้นสายการบินโดนเทขายอย่างหนัก นำโดย AAV,THAI,AOT,BA (คลิกอ่าน>>หุ้นการบินร่วงยกแผง วิตกนักท่องเที่ยวลดเหตุเรือล่มภูเก็ต-รัฐปราบทัวร์ศูนย์เหรียญรอบใหม่) ไม่เพียงเท่านั้นหุ้นกลุ่มโรงแรม และค้าปลีกที่เกี่ยวเนื่องกับนักท่องเที่ยวจีนต่างปรับตัวลงแรงด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้แม้ว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติออกมาอย่างสดใส แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นและจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอันดับ 1 ของไทยปรับตัวลดลงอย่างน่าใจหาย!!!
โดยจากการสำรวจตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนจากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2561 พบว่าตัวเลขการท่องเที่ยวกลุ่มชาวจีนติดลบอย่างต่อเนื่อง
สำหรับเดือนกรกฎาคมจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเริ่มติดลบ 1% เดือนสิงหาคม 2561 ติดลบ 12% เดือนกันยายน 2561 ติดลบ 15% และเดือนตุลาคมติดลบ 20% และล่าสุดแม้ตัวเลขเดือนพ.ย.61 ติดลบ 15%
19 ตุลาคม 2561 นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า สทท.ปรับลดเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวไทยในปีนี้เหลือ 35 ล้านคน จากเป้าหมายเดิม 39 ล้านคน โดยยอดที่ลดลง 4 ล้านคนนั้น เป็นชาวจีน 2 ล้านคน หรือร้อยละ 50 ของทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวชาติอื่น
ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีปรับลดลง 1 แสนล้านบาท จากเดิมตั้งเป้าไว้ที่ 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านล้านบาท ปรับลดลงเหลือ 1.9 ล้านล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศ 1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้หากเหตุการณ์กระทบยาวไปจนถึงช่วงตรุษจีนคือเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งเป็นวันหยุดยาวของชาวจีน คาดว่ายอดนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาจะลดลงอีกร้อยละ 15-20 รัฐบาลจึงต้องเร่งออกมาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวอย่างจริงจังมากกว่านี้
แน่นอนทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนลดลงต่อเนื่อง อีกทั้งการหั่นเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวลงส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐต้องสั่งเร่งหายาแรงมาเพื่อมาแก้ปัญหาและเร่งฟูตัวเลขการท่องเที่ยวให้กับมาสดใสดังเดิม
6 พฤศจิกายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราของคนต่างด้าวประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เพื่อการท่องเที่ยวเป็นเวลาไม่เกิน 15 วัน จากปกติเก็บที่ 2,000 บาท ในกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด้านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) ในกลุ่ม 21 ประเทศ เป็นเวลา 60 วัน ซึ่งคาดเริ่มใช้ในช่วงพฤศจิกายน 2561 ถึงประมาณเดือนมกราคม 2562 จะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30%
สำหรับ 21 ประเทศ ประกอบด้วย 1.อันดอร์รา 2.บัลแกเรีย 3.ภูฏาน 4.จีน 5.ไซปรัส 6.เอธิโอเปีย 7.ฟิจิ 8.อินเดีย 9.คาซัคสถาน 10.ลัตเวีย 11.ลิทัวเนีย 12.มัลดีฟส์ 13.มอลตา 14.มอริเชียส 15.ปาปัวนิวกินี 16.โรมาเนีย 17.ซาน มาริโน 18.ซาอุดีอาระเบีย 19.ไต้หวัน 20.ยูเครน 21.อุซเบกิสถาน
13 พฤศจิกายน 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้แก่ 1. โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561- วันที่ 15 มกราคม 2562 รวมทั้งการเปิดให้บริการพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวในการคืนภาษี (VAT Refund) ในพื้นที่ย่านแหล่งท่องเที่ยว หรือ ห้างสรรพสินค้า สำหรับการซื้อสินค้าออกนอกราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมสรรพกร เรื่อง การแต่งตั้งตัวแทนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว
2.การเพิ่มความถี่ของการเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางที่ขอรับการตรวจตราแบบสามารถเดินทางได้ ครั้งเดียว (Single Entry Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จากเดิมที่สามารถเดินทางได้ 1 ครั้ง เป็นสามารถเดินทางเข้าประเทศไทย 2 ครั้ง (Double Entries Visa) ภายใน 6 เดือน โดยคิดค่าธรรมเนียมอัตราเดิม คือคนละ 1,000 บาท โดยกำหนดระยะเวลาการขอรับการตรวจลงตราที่สถานทูตเป็นระยะเวลา 2 เดือน
3.การให้อนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) แบบอนุญาตครั้งเดียวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวีซ่าอยู่แล้ว (ทั้งแบบ TR และ VoA) โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทย สามารถกลับเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก โดยไม่ต้อง ขออนุญาตอีกครั้ง และสามารถรักษาสิทธิ์การอยู่ในประเทศไทยตามระยะเวลาคงเหลือที่กำหนดในวีซ่าเดิม
4.แก้ไขหลักการกฎกระทรวงมหาดไทยในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 30 วัน (ผ.30) ซึ่งจะเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือด่านพรมแดนที่เป็นเขตติดต่อกับพรมแดนทางบก สามารถเข้ามา ในประเทศไทยด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปีปฏิทิน
18 ธันวาคม 2561 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการชำระเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ และการนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในระหว่างวันที่ 1-15 ก.พ.62 ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลตรุษจีนเพื่อให้ประชาชนทั่วไปที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตชำระค่าสินค้า วงเงินไม่เกิน 20,000 บาท จะได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 5% หรือคิดเป็นเม็ดเงินไม่เกิน 1,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ด้วยหมายเลขบัตรประชาชน
แน่นอนมาตรการดังกล่าวถือเป็นยาแรงที่จะกระตุ้นตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาคึกคักเหมือนที่ผ่านมา เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูสถิติในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวจีนกว่า 9.8 ล้านคน ทำรายได้เข้าประเทศกว่า 524,000 ล้านบาท ส่วนปี 2559 มีนักท่องเที่ยวจีน กว่า 8.7 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศกว่า 457,000 ล้านบาท และปี 2558 มีนักท่องเที่ยวจีน กว่า 7.9 ล้านคน นำรายได้เข้าประเทศกว่า 388,000 ล้านบาท มีตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นจากนี้ไปมาจับตากันว่าตัวเลขการท่องเที่ยวที่เคยสดใสภาครัฐจะเร่งฟื้นฟูตัวเลขมาได้สดใสดังเดิมได้หรือไม่ อีกทั้งจะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และเรียกความเชื่อมั่นให้นักลงทุนในกลุ่มสายการบิน-โรงแรมให้กับมาสดใสหรือไม่ต้องจับตา!!!!