พาราสาวะถี
ประกาศสำนักพระราชวังเรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เลขาธิการพระราชวังรับพระราชโองการเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลในนามของปวงชนชาวไทยนั้น
อรชุน
ประกาศสำนักพระราชวังเรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เลขาธิการพระราชวังรับพระราชโองการเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า โดยที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภา กราบบังคมทูลในนามของปวงชนชาวไทยนั้น
ทรงพระราชดำริว่า เป็นโอกาสอันควรที่จะได้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ตามพระราชประเพณี เพื่อความเป็นสวัสดิมงคลของประเทศชาติและราชอาณาจักร ให้เป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนผู้มีความหวังตั้งใจอยู่ทั่วกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น ดังนี้
วันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและเสด็จออกมหาสมาคม พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น พระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร วันที่ 5 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 พระราชพิธีเฉลิมพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และสถาปนาฐานันดรศักดิ์พระบรมวงศานุวงศ์ จากนั้น เสด็จเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตรา ทางสถลมารค
วันที่ 6 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท พสกนิกรเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล จากนั้น เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท คณะทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล ส่วนการเสด็จเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีขึ้นในช่วงการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ปลายปีพุทธศักราช 2562 จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน ถือเป็นการเริ่มต้นปีของคนไทยด้วยข่าวที่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
หลังเทศกาลข่าวสารที่เกิดขึ้นคือสถิติอุบัติเหตุ ที่ยอดตายเจ็บยังคงเป็นตัวเลข ซึ่งหน่วยงานเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหากันต่อไป ไม่ต่างกันกับข่าวเทศกาล จราจรแออัด ผู้คนแห่แหนกันเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ก้มหน้าก้มตาทำงานรับภาวะเศรษฐกิจที่ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องใหญ่ ก่อนเก็บกันเพื่อกลับบ้านกันอีกรอบในเทศกาลสงกรานต์
ด้านการเมืองมาแรงก่อนส่งท้ายปีด้วยข่าวการเลื่อนเลือกตั้งไปอีก 1 เดือนจากโรดแมปเดิม 24 กุมภาพันธ์นี้ ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วดูมีน้ำหนักนั่นก็คือ พิมพ์บัตรเลือกตั้งไม่ทัน แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงมันย่อมสะท้อนไปถึงศักยภาพในการเตรียมการและการทำงานขององค์กรอย่าง กกต. ที่ผ่านมามัวแต่เสียเวลาไปกับเรื่องอะไร เพราะงานพิมพ์บัตรถือเป็นงานเอกสารที่เตรียมการล่วงหน้าได้อยู่แล้ว
แต่คงต้องยอมรับด้วยสถานะหนังหน้าไฟที่ยินดีที่จะเป็น การที่มีใครโยนว่าหากเลื่อนเลือกตั้งเป็นเพราะ กกต.ล้วน ๆ จึงไม่เป็นปัญหา หากจำกันได้เคยบอกไปก่อนหน้า ปัจจัยหลักหากมีการหาเหตุเลื่อนเลือกตั้งออกไป ไม่ใช่เรื่องหลักกงหลักการอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น ปัญหาพิมพ์บัตรก็แค่ข้ออ้าง ฟังจากข่าววงในประสาคนเชื่อในเรื่องดวงดาว ตามโหราศาสตร์คือหนีวันโลกาวินาศที่ดันมาตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์พอดิบพอดี
อุตส่าห์วางแผนทุกอย่างมาเสียดิบดี จู่ ๆ จะมาเสียหายด้วยการไม่กำหนดวันเลือกตั้งด้วยตัวเองได้อย่างไร หากจำกันได้อีกเรื่องโหรประจำของคณะเผด็จการทหาร ส่งสัญญาณมาตั้งนานแล้วว่าเลือกตั้งจะไม่เป็นไปตามกำหนด คงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพรรคการเมืองทั้งหลาย ใครยิ่งโวยวายยิ่งเสียเปรียบ เพราะมาถึงนาทีนี้ คนที่จะต้องแก้ต่างแก้ตัวและเข้าตัวไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ออกลูกยึกยักคือ คณะเผด็จการและองคาพยพที่เกี่ยวข้องนั่นเอง
ขณะที่ฝ่ายกุมอำนาจพยายามหาคำอธิบายไว้แก้ตัวกรณีเลื่อนเลือกตั้ง ฟากพรรคการเมืองอย่างสองพรรคใหญ่ ก็เกิดข่าวฮือฮาว่า “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ที่เดินทางไปเยือนจีน พร้อม โภคิน พลกุล ได้ตอบคำถามของผู้บริหารรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวของจีนต่อสถานการณ์การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง โดยคุณแหล่งข่าวอ้างว่า เจ๊หน่อยระบุพร้อมที่จะทาบทามพรรคประชาธิปัตย์ที่คาดว่าจะได้ที่นั่ง ส.ส. 80-100 ที่นั่งมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับเพื่อไทย
ข่าวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหายแน่สำหรับเพื่อไทย อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่สำหรับประชาธิปัตย์ถือว่าไม่เป็นผลดี ด้วยเหตุนี้ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ จุติ ไกรฤกษ์ ในฐานะหัวหน้าและเลขาฯ พรรค จึงต้องออกมาปฏิเสธเป็นพัลวัน โดยแม่บ้านของพรรคเก่าแก่ถึงกับบอกว่านี่เป็นการปล่อยข่าวที่ไม่สร้างสรรค์หวังให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง
ไม่เพียงเท่านั้น การที่ข่าวระบุถึงจำนวน ส.ส.ของพรรคเก่าแก่ว่าได้ไม่เกินร้อยที่นั่ง สอดประสานกับถ้อยแถลงของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ที่ปรามาสไว้ก่อนหน้าว่าประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคต่ำร้อย ย่อมไม่เป็นที่สบอารมณ์ของลูกพรรคแม่พระธรณีบีบมวยผมอย่างแน่นอน เพื่อการการันตีว่าเสียงดีไม่มีหาย อภิสิทธิ์จึงต้องกล้าประกาศอย่างแมน ๆ ว่า ถ้าได้คะแนนเสียงต่ำกว่า 100 ที่นั่ง จะแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากหัวหน้าพรรคทันที
นี่แค่โหมโรง การเมืองว่าด้วยตัวเลขหลังหย่อนบัตรยังมีให้พูดถึงกันอีกยาว แต่ที่แน่ ๆ คือ การเปิดเกมรุกว่าด้วยการจับมือกันทางการเมือง แม้จะเป็นสิ่งที่มองกันว่าเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยระหว่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ มองอีกนัยหนึ่งกรณีนี้การเป็นการโยนหินถามทางหรือวางระเบิด เพื่อให้บางพวกบางพรรค กล้าแสดงตัวตน ประกาศจุดยืนว่าจะเลือกข้างฝั่งไหน ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับพวกหนุนเผด็จการ งานนี้ไม่มี 3 ก๊กเหมือนอย่างที่บางพรรคพยายามแผ้วถางทางอยากให้เกิด จะมีแต่ก็พวกแทงกั๊กหรืออีแอบเท่านั้น ที่ต้องรีบแสดงตัว