พาราสาวะถี
สัญญาณเลื่อนเลือกตั้งโชยมาแต่ไกล เตือนดัง ๆ จากอดีตกกต.ที่วันนี้เตรียมตัวเป็นผู้สมัครส.ส.สมุทรสาครสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ สมชัย ศรีสุทธิยากร บอกหากภายในสัปดาห์นี้ซึ่งเหลืออีก 2 วันยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีให้มีการเลือกตั้งส.ส. ไม่ต้องเดากันอีกแล้วว่าประชาชนจะได้หย่อนบัตรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้หรือไม่
อรชุน
สัญญาณเลื่อนเลือกตั้งโชยมาแต่ไกล เตือนดัง ๆ จากอดีตกกต.ที่วันนี้เตรียมตัวเป็นผู้สมัครส.ส.สมุทรสาครสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ สมชัย ศรีสุทธิยากร บอกหากภายในสัปดาห์นี้ซึ่งเหลืออีก 2 วันยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีให้มีการเลือกตั้งส.ส. ไม่ต้องเดากันอีกแล้วว่าประชาชนจะได้หย่อนบัตรในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้หรือไม่
หากรัฐบาลไม่ยอมประกาศกฤษฎีกาในสัปดาห์นี้ จะทำให้กำหนดการเดิมที่เคยกำหนดไว้ต้องขยับออกไป และไม่สามารถกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ตามที่สัญญากับทุกฝ่ายได้อย่างแน่นอน เมื่อจับอาการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บอกว่า ต้องรอการประชุมหารือกันก่อนยังไม่สามารถประกาศพระราชกฤษฎีกาได้ น่าจะชัดเสียยิ่งกว่าชัด
หากย้อนกลับไปฟัง วิษณุ เครืองาม ที่ยืนยันปฏิทินการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งผ่านที่ประชุมแม่น้ำ 5 สายร่วมกับกกต.และพรรคการเมือง ระบุว่า จะมีการประกาศพระราชกฤษฎีการให้มีการเลือกตั้งส.ส.ในวันที่ 2 มกราคม ซึ่งนั่นหมายความว่า รัฐบาลจะต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างไว้แล้ว แต่เมื่อท่านผู้นำมาสารภาพว่ายังไม่ได้หารือกัน มันย่อมมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
ตามกระบวนการของการจัดเลือกตั้งตามกรอบ 150 วันหลังกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น การออกพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งส.ส.เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะต้องมีมติภายใน 5 วันหลังจากรัฐบาลประกาศพระราชกฤษฎีกา
พอเห็นการโยนภาระหน้าที่ไปที่หนังหน้าไฟอย่างกกต.ของคนในรัฐบาลแล้ว งานนี้คงเป็นไปอย่างที่มีกระแสข่าว และก็คงเป็นอย่างที่สมชัยแนะให้ประชาชนช่วยกันจับตาดูคือ การเลื่อนเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องของ “สองฝ่ายแอบตกลงกัน” อันหมายถึงรัฐบาลเผด็จการและกกต. นั่นย่อมทำให้เห็นว่ากกต.คณะนี้ขาดความเป็นอิสระ และยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความกังขา ขาดความเชื่อถือต่อความเป็นกลางในการจัดการเลือกตั้งขององค์กรอิสระแห่งนี้
ส่วนประเด็นอันเนื่องมาจากพระราชพิธีที่สำคัญของคนไทย ยืนยันจากบิ๊กตู่เองว่าไม่ส่งผลต่อการจัดการเลือกตั้ง เนื่องจากสามารถดำเนินการคู่ขนานไปด้วยได้ แม้จะมีข่าว “ดอกเตอร์ไข่ผง” อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต เตรียมที่จะถวายฎีกาเพื่อให้ยุติการเลือกตั้งครั้งนี้ก่อน โดยที่ท่านผู้นำบอกว่าอาทิตย์เป็นผู้ใหญ่แล้วย่อมรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร
ขณะที่เหตุผลในช่วงก่อนพระราชพิธีอันเป็นมงคลยิ่งใหญ่ของชาติและประชาชนนี้ มิควรที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทางการเมืองขึ้น เพราะจะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง แตกแยก และไม่สามัคคีปรองดองกัน อีกทั้งกฎเกณฑ์กติกาในการเลือกตั้งก็ยังไม่เป็นธรรมประชาธิปไตยเหมาะสมกับประเทศไทยดีพอจะมีน้ำหนักน่ารับฟังก็ตาม แต่ด้วยภาระที่แบกไว้บนบ่าของบิ๊กตู่เชื่อว่า คงไม่ต้องการที่จะเลื่อนการเลือกตั้งเพื่อให้เกิดเป็นปัญหาอันส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย
กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องจะลงแดงตายหากไม่ได้เลือกตั้งเหมือนอย่างที่พวกสุดโต่งบางคนพยายามจะนำเรื่องที่เป็นมงคลสำหรับคนไทยมาเชื่อมโยงกับการเมือง เพราะคนไทยทั้งประเทศรวมไปถึงนักการเมืองและพรรคการเมืองต่างรู้ดีว่าสิ่งไหนควรหรือมิบังควร งานสำคัญของชาติคนไทยทุกคนย่อมร่วมมือร่วมใจเพื่อให้ทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี
ยังลีลาไม่เลิกสำหรับผู้นำเผด็จการกับการตอบคำถามเรื่องการถูกเชิญเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง ด้วยคำตอบเดิมยังไม่มีใครมาขอและยังไม่ได้ตัดสินใจ เข้าใจกันได้ หากบอกว่าเลือกพลังประชารัฐแน่นอน นั่นย่อมจะตามมาด้วยคำถามเรื่องมารยาททางการเมืองและการยุติจัดครม.สัญจร ใครจะบ้ายอมเสียสิ่งที่ทำให้ตัวเองและพวกพ้องได้เปรียบในทางการเมืองเช่นนี้
เห็นได้จาก 4 รัฐมนตรีที่เดิมตั้งท่าจะแสดงสปิริต ถึงขั้นประกาศว่าจะเป็นบรรทัดฐานที่ให้นักการเมืองหลังจากนี้ต้องทำตาม แต่ทำไปทำมาจนถึงเวลานี้ยังไม่ยอมไขก๊อกกันเสียทีด้วยข้ออ้างรอเวลาที่เหมาะสม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ หากเลือกตั้งตามโรดแมปก็แสดงให้เห็นว่าทั้งสี่คน ต้องการใช้ตำแหน่งของตัวเองที่มีเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่นั่งบริหารจนวินาทีสุดท้าย ในภาวะเช่นนี้คนที่ไม่มีต้นทุนทางการเมืองหากลงพื้นที่เพื่อให้เป็นที่สนใจและประชาชนรู้จัก อะไรจะสู้การใช้หัวโขนเสนาบดีไปทำมาหากิน
ถามว่ามันต่างอะไรจากนักการเมืองชั่วหรือพรรคการเมืองเลวที่เผด็จการกล่าวหามาตลอดกว่า 4 ปี ด้วยข้ออ้างจัดครม.สัญจรเพื่อไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ได้หาเสียง เด็กอมมือยังเข้าใจได้ มันจะมาขยันทำงานอะไรในห้วงเวลาที่ตัวเองกำลังจะหมดจากอำนาจ ถ้าทำมาตั้งแต่วันแรกที่ยึดอำนาจแล้วแก้ปัญหาชีวิตให้ประชาชนได้ ไม่ต้องทุ่มอะไรขนาดนี้ อย่างไรเสียคนก็ชื่นชอบและเลือกพรรคที่ตัวเองถือหางอยู่ดี
หยั่งเชิงวัดกระแสกันเป็นระยะสำหรับสองพรรคการเมืองใหญ่ หลังข่าวเพื่อไทยจับมือประชาธิปัตย์ตั้งรัฐบาลเรียกเรตติ้ง แต่ดูท่าจะจุดพลุไม่ขึ้นเพราะคนส่วนใหญ่ต่างรับรู้กันดีว่าโอกาสนั้นมีน้อยมากหรืออาจบอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเส้นทางการเมืองของสองฝ่ายต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกหนึ่งอิงแอบกับอำนาจนอกระบบและซุกใต้ปีกเผด็จการมาตลอด ขณะที่อีกฝั่งถูกเล่นงานจากการรัฐประหารไม่หยุดหย่อน มองมุมไหนก็ไม่มีวันที่จะสังฆกรรมกันได้
ฟากพรรคเก่าแก่หัวหน้าพรรคก็พยายามจะสร้างราคา กู้ศักดิ์ศรีของตัวเองจากการไปเป็นนายกฯในค่ายทหารกลับคืนมาให้ได้ ซึ่งนับวันยิ่งดูริบหรี่ ขณะที่พรรคนายใหญ่อาการไหลไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติแม้จะเป็นเครือข่ายเดียวกัน แต่ก็สะท้อนภาพความไม่ลงรอยภายในพรรคหลักได้เด่นชัด เพียงแต่ว่าความได้เปรียบของพรรคทักษิณคือยังกินบุญเก่า มีแต้มต่อทางการเมืองเหนือกว่าคู่แข่งอยู่มากโขเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคเผด็จการยังไม่มั่นใจว่าเดินหน้าเลือกตั้งตามโรดแมปแล้วจะชนะใส ๆ อย่างที่คุยโวจริงหรือเปล่า