เปิด 10 รายชื่อหุ้น mai วิ่งแรงปี 61 “OCEAN” นำทีมพุ่งกระฉูด! โกยรีเทิร์นเฉียด 400%
เปิด 10 รายชื่อหุ้น mai วิ่งแรงปี 61 “OCEAN” นำทีมพุ่งกระฉูด! โกยรีเทิร์นเฉียด 400%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม mai ปี 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ธ.ค.61 และได้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงสวนทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET) และตลาดฯ mai
โดยดัชนี SET ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาได้ปรับตัวลง 12.14% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1563.88 จุด ( 28 ธ.ค.61) ลบไป 189.83จุด ส่วนดัชนีพย์ mai ในรอบ 1 ปีที่ผ่านได้ปรับตัวลง 34.04% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 356.44 จุด ( 28 ธ.ค.61) ลบไป 183.93 จุด
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ถือว่ากดดันการลงทุนมากสุดจนถึงขณะนี้
โดย 10 อันดับหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรงปี 2561 ตามตารางประกอบดังนี้
อันดับ 1 คือ บริษัท โอเชี่ยน คอมเมิรช จำกัด (มหาชน) หรือ OCEAN ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 386.48% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.74 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 3.60 บาท (28ธ.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเนื่องจากเป็นหุ้นขนาดเล็กและง่ายต่อการดันราคาประกอบกับช่วงที่ผ่านมามีประเด็นการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) คือ นางชัชชญา ไตรตระกูลชัย จำนวน 482.57 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.80 บาท คิดเป็นมูลค่า 386.05 ล้านบาท ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนครั้งนี้นางชัชชญา จะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท 40% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงไบโอดีเซลของบริษัทจึงทำให้ราคาหุ้นทะยานแรงในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามแม้ราคาหุ้นจะทะยานสวนผลงานงวด 9 เดือน ปี 2561 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 45.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 22.57 ล้านบาท นักลงทุนก็ควรระวังการเข้าลงทุนเพราะพื้นฐานยังไม่แข็งแกร่ง
อันดับ 2 บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 155.50% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.91 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 4.88 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็ก อีกทั้งเข้ามาเก็งกำไรแผนธุรกิจร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำทางด้านมอเตอร์ปั๊มน้ำทำให้ราคาพุ่งแรงในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนได้จากเดิมกำหนดการจะมีในเดือนพ.ย.61และได้เลื่อนออกไปเป็นต้นปี 62 ซึ่งจนถึงล่าสุดก็ยังไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับราคาหุ้นการสำรวจข้อมูลพบว่าราคา PIMO หุ้นมีค่า P/E อยู่ที่ 209.05 เท่า ซึ่งสูงกว่า P/E กลุ่มและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 18.25 เท่า และ 44.99 เท่า ตามลำดับ การลงทุนก็อาจจะต้องหาจังหวะให้ดีเหมาะสม
อันดับ 3 บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 141.54% โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 3.25 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 7.85 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการปีนี้จะออกมาโดดเด่นส่งผลให้ราคาหุ้นขึ้นแรงตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา
ด้าน นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายธุรกิจภายใน 5 ปี (2561-2565) พร้อมก้าวเป็นเบอร์หนึ่ง “อสังหาฯทางเลือก” ของจังหวัดภูเก็ต สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
โดยวางเป้ารายได้ในปี 2561 – 2562 เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 100% เมื่อเทียบจากปี 2560 โดยรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 600 ล้านบาท และ 900 ล้านบาทตามลำดับ พร้อมกันนี้ บริษัทฯตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 40% และรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ไม่ต่ำกว่า 20%
โดยปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายรอการโอน (Backlog) อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ บริษัทฯยังมียอดรอการขายอีก 600 ล้านบาท สำหรับแผนธุรกิจปีนี้บริษัทฯวางแผนเปิดโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 2,500-3,000 ล้านบาท พร้อมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 300-400 ล้านบาท เพื่อรองรับโครงการใหม่ในอนาคตและเพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทฯอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
อันดับ 4 บริษัท เอ็กโซติค ฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ XO ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 119.80% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 5.05 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 11.10 บาท (28ธ.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงตามแผนธุรกิจที่โดดเด่นและพื้นฐานสดใสทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์แนะนำเข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บล.โกลเบล็ก ระบุว่า ปี 61 วางแผนลดต้นทุนและขยายตลาดใหม่เพิ่มคงประมาณการกำไรปี 61 ที่ 93 ล้านบาทเติบโต 57%YoY ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PE Ratio อิง Prospective PE ที่ 26 เท่าซึ่งต่ำกว่าค่า PE เฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีที่ 33 เท่าและค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอาหารในตลาด MAI ที่34 เท่า เนื่องจากเราใช้มุมมองอนุรักษ์นิยม โดยคาดกำไรต่อหุ้นปี 61 ที่ 0.26 บาทต่อหุ้นได้ราคาเหมาะสมเพิ่มขึ้นจาก 5.46 บาทสู่ 6.76 บาท ซึ่งมี Upside 12% จากราคาปัจจุบันจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2561 คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานจะเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% และกำไรสุทธิเติบโตกว่าปีก่อน จากภาพรวมตลาดซอสปรุงรส น้ำจิ้ม และเครื่องประกอบอาหารไทยยังคงได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ เป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการขยายตลาดและมีความต้องการซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายจากการส่งออกราว 99.8% และมีสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนประมาณ 71.86% ของรายได้ทั้งหมด
สำหรับโรงงานแห่งใหม่แห่งที่ 2 ตั้งอยู่ในนิคมอมตะซิตี้ จ.ระยอง สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว สนับสนุนกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและน้ำจิ้มให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว และจะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ยอดขายเติบโตในอนาคต
อันดับ 5 บริษัท โฟคัส ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FOCUS ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 39.29% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 1.12 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1.56 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นเล็กทำให้ราคาหุ้นทะยานแรง อีกทั้งสัญญาณทางเทคนิคเป็นขาขึ้นยิ่งทำให้นักลงทุนเข้ามาไล่ราคาตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามพื้นฐานราคาหุ้นไม่แข็งแกร่งเห็นได้จากผลขาดทุนในปี 2559 และในงวด 9 เดือนปี 2561 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 33.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 26 .85 ล้านบาท
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน