พาราสาวะถี

ยังคงร้อนแรงตอบคำถามตรงไปตรงมาสำหรับ “บิ๊กแดง” พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ยืนยันเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นสิทธิ เสรีภาพที่ทำกันได้ แต่ต้องคำนึงถึงคนอีกพวกอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นต่างด้วย ขณะเดียวกันก็ผุดวาทกรรม “รู้เกมการเมืองดีอย่ามาล้ำเส้นกัน” คำถามที่ตามมาคือ รู้เกมการเมืองของใคร พวกไหนกันแน่


อรชุน

ยังคงร้อนแรงตอบคำถามตรงไปตรงมาสำหรับ “บิ๊กแดง” พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ยืนยันเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองเป็นสิทธิ เสรีภาพที่ทำกันได้ แต่ต้องคำนึงถึงคนอีกพวกอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นต่างด้วย ขณะเดียวกันก็ผุดวาทกรรม “รู้เกมการเมืองดีอย่ามาล้ำเส้นกัน” คำถามที่ตามมาคือ รู้เกมการเมืองของใคร พวกไหนกันแน่

เพราะถ้ารู้เกมของฝ่ายที่ต้องการจะสืบทอดอำนาจ ย่อมมองความเคลื่อนไหวของฝ่ายเห็นต่างเป็นอีกแบบ หรือถ้ารู้เกมการเมืองอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ต้องไม่โอนเอน ไหลไปอยู่ฝ่ายหนึ่งฝั่งใด แต่ถอดรหัสคำพูดของผบ.ทบ.ก็เห็นท่าทีอันชัดเจนเพราะเจ้าตัวเชื่อมั่นว่าประชาชนส่วนใหญ่มีความเข้าใจและเห็นใจรัฐบาล ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดปุจฉาตามมาอีกเช่นกันว่า แล้วรัฐบาลเข้าใจและเห็นใจประชาชนส่วนใหญ่ด้วยหรือไม่

หากเข้าใจและเห็นใจคนส่วนใหญ่ ย่อมจะรู้ว่าการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้ความเชื่อถือเชื่อมั่นของประเทศกลับคืนมา คนส่วนใหญ่เชื่อว่าถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเมื่อไหร่ ความหวังในแง่ของปากท้องประชาชนน่าจะดีขึ้น ไม่ใช่คนจนจะอดตายกันหมดแล้ว เหมือนอย่างที่เสนาบดีของรัฐบาลเผด็จการว่า

หรือผบ.ทบ.เข้าใจว่าเงินแจก 500 บาทนั้นทำให้ปัญหาปากท้องของประชาชนดีขึ้นแล้ว คนไทยหายจนกันหมดแล้ว ซึ่งมันเทียบไม่ได้กับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ราคามหาศาล ที่ทำให้ใครหลายคนอยู่ดีกินดี แน่นอนมันก็ไม่ต่างจากที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ตอบโต้ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่หลับหูหลับตาบอกว่า ประชาชนยุคเผด็จการกระเป๋าตุงกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย

เพราะความจริงคนที่กระเป๋าตุงไม่ต้องย้อนยุคไปถึงช่วงเครื่องตรวจวัตถุระเบิดยี่ห้อซีทีเอ็กซ์ เอาแค่ช่วงก่อนการเลือกตั้งนี้ ก็มีคนกระเป๋าตุงกันไปไม่น้อยแล้ว เพียงแต่ว่ามันเป็นการตุงที่ไม่ได้ช่วยเติมเต็มความมั่นใจให้กับฝ่ายสืบทอดอำนาจแต่อย่างใด ถ้าเป็นไปตามราคาคุยคือคะแนนเสียงดี มีคนนิยมมหาศาล คงไม่มีคนโง่ที่ไหนจะไม่จัดเลือกตั้งในภาวะที่ตัวเองกุมความได้เปรียบทุกประตู

ขณะที่ฟังเสียงของผบ.ทบ.พูดเหมือนคนที่จะเข้าใจประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ เพราะทหารประชาธิปไตยอย่าง พลโทพงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ บอกว่า ทหารที่ออกมาพูดเรื่องการเมือง คือทหารการเมืองไม่ใช่ทหารอาชีพแต่ประการใด พร้อมยกตัวอย่างประเทศตะวันตกที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยมีข้อกำหนดห้ามมิให้ทหารวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือ

ด้วยเหตุผลสำคัญ ทหารเป็นผู้ถืออาวุธ เป็นองค์กรที่ได้เปรียบในเรื่องอำนาจ ในสหรัฐอเมริกาแม้แต่การเลี้ยงรุ่นยังทำไม่ได้ แต่นั่นคงไม่ใช่ประเทศไทย เพราะทหารไทยเป็นนักการเมืองยิ่งกว่านักการเมืองอาชีพเสียด้วยซ้ำไป ยิ่งคณะรัฐประหารชุดนี้ที่เตรียมจำแลงแปลงกายล้างคราบไคลเผด็จการมา(อ้างว่า)เป็นนักประชาธิปไตย ล้วนแต่จัดเจนทางการเมืองกันทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการอ้างเหตุแห่งความสงบ เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยนั้น ฟังแล้วดูดี แต่ความจริงมันไม่ใช่ เพราะความสงบราบคาบที่เป็นความประสงค์ของเผด็จการนั้น เป็นสัญญาณที่เลวร้ายต่อเศรษฐกิจ ต่อความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่าง ๆ มากกว่าสังคมที่มีการยอมรับความแตกต่าง หลากหลายและการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างเสรี ในกรอบที่ตกลงกันล่วงหน้า โดยไม่มีการละเมิดกติกากัน

ดังนั้น การอ้างเรื่องหนึ่งเรื่องใดเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลไกของเผด็จการ รวมไปถึงการแสดงออกว่าปกป้องประชาธิปไตยของผู้ที่ได้ชื่อว่าเติบโตมาจากขบวนการล้มรัฐบาลที่มาจากเสียงของคนส่วนใหญ่ จึงหาใช่เป็นความยึดโยงกับประชาชนไม่ เป็นเพียงแต่การอ้างประชาชนเพื่อสร้างภาพและต้องการยอมรับให้กับองคาพยพของเผด็จการเท่านั้น

เช่นเดียวกันกับการอ้างกระบวนการปฏิรูปและสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองที่ดีในอนาคต แต่รัฐบาลอำนาจเต็มกลับหาได้ทำอะไรที่เป็นเยี่ยงให้นักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวได้เอาอย่างแม้แต่น้อย กรณีการประชุมครม.สัญจรนั้นเห็นได้ชัด หากเป็นรัฐบาลรักษาการเมื่อมีสัญญาณชัดว่าจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาต้องหยุดการดำเนินการแม้กฎหมายจะไม่ได้ห้ามไว้ก็ตาม

นั่นเป็นเพราะทุกคนคำนึงถึงมารยาททางการเมือง ไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ แต่รัฐบาลเผด็จการกลับอ้างว่าต้องไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ทั้ง ๆ ที่อยู่มานานจวนจะ 5 ปีแล้ว ก็ไม่ยักเห็นการเดินทางไปประชุมต่างจังหวัดถี่ยิบเหมือนในห้วงขวบปีหลังนี้แม้แต่น้อย และก็ไม่รู้ว่าแก้กันอย่างไร รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลถึงได้ยอมรับว่าคนจนจะอดตายกันหมดแล้ว

แต่ก็อีกนั่นแหละ ในเมื่อพวกที่เคยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยังเดินสายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการหวังผลจากการเลือกตั้ง โดยไม่อินังขังขอบว่าเกิดการปฏิรูปตามที่ได้เคลื่อนไหวกันไว้หรือไม่ สุดท้าย การเมืองมันจึงหนีไม่พ้นวังวนน้ำเน่า ไม่ว่าจะมียุทธศาสตร์ 20 ปีหรือร้อยปีมาเป็นตัวกำหนด ก็ไม่อาจยกระดับจิตใจของพวกที่ลุ่มหลงและเหลิงในอำนาจแต่อย่างใด

สงสัยว่าที่ยังแทงกั๊กไม่ตอบรับการเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐเสียที คงเป็นเพราะเห็นแอ็กชั่นการขายฝันของเหล่าแกนนำแล้ว ทำให้เสียราคาหรือเปล่า โดยเฉพาะข้อเสนอโฉนดทองคำ ที่ทำเอาท่านผู้นำหัวร้อนถึงกับสั่ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไประงับแกนนำพรรคที่ได้มีการนำที่ดินส.ป.ก.ไปหาเสียง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะตัวเองก็ปรามาสพรรคอื่นไว้เยอะว่าหลายเรื่องทำไม่ได้ และยิ่งกรณีนี้นอกจากทำไม่ได้แล้วยังผิดกฎหมายอีกต่างหาก

จากที่ตั้งท่าว่าจะขอเข้ามาเป็นนายกฯในรูปแบบที่พรรคการเมืองเสนอชื่อชิงกับตัวเลือกอื่น ๆ วันนี้ ดูท่าทีแล้วผู้นำเผด็จการคงจะใส่เกียร์ถอย แล้วหันไปตั้งหลักรอคนเชิญมาเป็นนายกฯคนนอกดีกว่า จะได้ไม่เปลืองตัว เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งท่านผู้นำก็ย้ำมาตลอดว่าทุกอย่างต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ส่วนจะได้รับการยอมรับจากประชาชนหรือเกิดกระแสลุกฮือหรือไม่ค่อยไปว่ากันอีกที การได้เห็นทีท่าของผบ.ทบ.ต่อการชุมนุมของประชาชนแล้ว ก็น่าจะเบาใจได้ว่าเมื่อถึงวันนั้นคงจะเอาอยู่ไม่ทิ้งพี่ตู่แน่นอน (ฮา)

Back to top button