เปิด 20 รายชื่อหุ้น mai ร่วงแรงปี 61 นักลงทุนขาดทุนยับเกิน 50%
เปิด 20 รายชื่อหุ้น mai ร่วงแรงปี 61 นักลงทุนขาดทุนยับเกิน 50%
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)กลุ่ม mai ปี 2561 โดยเทียบราคาหุ้นปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-28 ธ.ค.61 และได้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงตามทิศทางดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET) และตลาดฯ mai
สำหรับดัชนี SET ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาได้ปรับตัวลง 12.14% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1753.71 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1563.88 จุด ( 28 ธ.ค.61) ลบไป 189.83จุด ส่วนดัชนีพย์ mai ในรอบ 1 ปีที่ผ่านได้ปรับตัวลง 34.04% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 540.37 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 356.44 จุด ( 28 ธ.ค.61) ลบไป 183.93 จุด
ด้านทิศทางตลาดหุ้นในรอบ 1 ปีที่ผ่านมานับว่ามีแรงกดดันหลายด้าน อาทิ แรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10Y US Bond Yield) ที่พุ่งแตะระดับ 3.24% และความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด รวมทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ถือว่ากดดันการลงทุนมากสุดจนถึงขณะนี้
สำหรับ 20 อันดับหุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 50% ปี 2561 ตามตารางประกอบดังนี้
อันดับ 1 บริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DCORP ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 87.44% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 3.98 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.50 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเทขาย เนื่องจากหุ้นไม่มีแผนธุรกิจที่ชัดเจน อีกทั้งผลประกอบยังขาดทุนต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2558
โดยราคาหุ้นตลอด 1 ปีที่ผ่านมาร่วงอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพ.ย.61 ซึ่งช่วงนั้นราคาหุ้นอ่อนตัว 9 วันติด โดยนับตั้งแต่ราคาหุ้นยืนที่ระดับ 2.74 บาท เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 61 ร่วงมอยู่ที่ระดับ 0.80 บาท หรือคิดเป็นลดลง 70.80% ส่งผลให้ราคาหุ้นหลุดระดับ 1 บาท เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2561 มีผลขาดทุน 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 73 ล้านบาท
อันดับ 2 บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 80.57% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 14.10 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 2.74 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนขายทำกำไรหลังเข้าไปไล่ราคาในช่วงเดือนก.พ.หลังบริษัทโชว์ผลงานปี 60 กำไรพุ่งกว่า 46% มาที่ 255.42 ล้านบาท จากปีก่อนกำไร 174.33 ล้านบาท
จากนั้นบริษัทประกาศตัวเลขผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสปี 2561 ออกมาไม่สดใสโดยกำไรงวด 9 เดือน ปี 2561 มีกำไร 39.39 ล้านบาท ลดลง 82.39% จากปีก่อนมีกำไร 223.66 ล้านบาท ยิ่งทำให้นักลงทุนผิดหวังและทยอยขายหุ้นออกมา ประกอบกับภาวะตลาดฯไม่สดใสยิ่งทำให้ราคาหุ้นอ่อนตัวลงแรงอีกทาง
อันดับ 3 บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 67.46% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 2.09 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.68 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังเข้าไปเก็งกำไรผลงานปี 60 โต 79% พร้อมเล็งปันผลเป็นหุ้นพร้อมเงินสดในช่วงครึ่งแรกปี 2561
จากนั้นนายวิจิตร เตชะเกษม กรรมการบริษัท ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการ ได้ออกมาคาดว่าปี 61 จะมีรายได้รวมราว 800 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ในระดับ 900 ล้านบาท ประกอบกับ บริษัทย่อย คือ บริษัท ไฮ เฮลธ์แคร์ เซ็นเตอร์ จำกัด (HHC) ซึ่งดำเนินธุรกิจความงาม ภายใต้สาขาวุฒิศักดิ์คลินิก ตั้งแต่ไตรมาส 2/61 มีผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด
โดยสามารถทำรายได้จากเงินสดเพียงเดือนละราว 10 ล้านบาท จากเดิมคาดไว้ที่ 20 ล้านบาท เนื่องจากปัญหาความพร้อมการเข้าซื้อกิจการเข้ามากดดันผลประกอบการ ส่งผลให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นออกมาบวกกับภาวะและไม่มีแผนงานใหม่ๆออกมาทำให้ราคาหุ้นทรุดหนักในช่วงปี 2561
อันดับ 4 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสริช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IRCP ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 67.26% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 1.68 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 0.55 บาท (28 ธ.ค.61) คาดนักลงทุนเทขายหลังผลการดำเนินงานออกมาไม่สดใสตลอด 3 ไตรมาส ปี 2561 โดยผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2561 ขาดทุนสุทธิ 23.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 13.25 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัทยังไม่แผนงานออกมาโดดเด่นทำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา สำหรับบริษัทประกอบธุรกิจด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศครบวงจร
อันดับ 5 บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 66.76% โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงจากระดับ 17.60 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 5.85 บาท (28 ธ.ค.61) ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากในช่วงต้นปี 61 บริษัทมีประเด็นธปท.หนุนร้านโชห่วยทำ“แบงก์กิ้งเอเย่นต์” ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความกังวลจะกระทบธุรกิจ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการกำไร 61-62 ลง
แม้ช่วงนั้นที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 30 มี.ค.61 จะมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินโดยจะใช้เงินสูงสุดไม่เกิน 300 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 20 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นสัดส่วน 2.5% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.-17 ต.ค.61แต่ดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะไม่กระเตื้องขึ้นเลย
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ขณะนี้คงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น FSMART ให้ราคาเป้าหมายปี 2561 ที่ 9.80 บาท (ที่ PE 12.5 เท่า) โดยบริษัทมีแผนบริการใหม่ๆ ผ่านตู้ เช่น ขายซิมโทรศัพท์มือถือ การพัฒนาระบบ KYC พิสูจน์ตัวตนผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์ เพื่อให้บริการเปิดบัญชีธนาคาร เป็นต้น คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าในไตรมาส 4/61 แต่ใช้เวลากว่าจะทำรายได้อย่างมีนัย อย่างเร็ว ในกลางปี 62
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน