พาราสาวะถีอรชุน
คำขู่ที่ว่าทำให้พ่อแม่เดือดร้อนของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยกมาขู่กลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพสะท้อนความอึดอัดของผู้นำที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการทำงานของรัฐบาล พร้อมๆ กับการประกาศใช้กฎหมายเล่นงานเด็ดขาด แต่ที่ยังไม่ลดราวาศอกก็ความไม่พอใจที่มีต่อสื่อ
คำขู่ที่ว่าทำให้พ่อแม่เดือดร้อนของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยกมาขู่กลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ เป็นภาพสะท้อนความอึดอัดของผู้นำที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านการทำงานของรัฐบาล พร้อมๆ กับการประกาศใช้กฎหมายเล่นงานเด็ดขาด แต่ที่ยังไม่ลดราวาศอกก็ความไม่พอใจที่มีต่อสื่อ
โดยที่ท่านผู้นำยังคงออกอาการหงุดหงิด ตอบคำถามนักข่าววันวานโดยการย้ำว่า สื่อไม่มีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า ในยุคนี้จะมีใครหน้าไหนที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือองค์รัฏฐาธิปัตย์ เพียงแต่มีข้อคำถามว่า อำนาจที่ท่านว่านั้นมันจีรังยั่งยืนหรือไม่ กระบวนการใช้อำนาจหากไม่เป็นธรรม ไร้เหตุผลย่อมหนีไม่พ้นที่จะมีคนลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน
ในทางกลับกัน อำนาจที่มีอยู่เต็มมือใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ มิเช่นนั้น ประเทศไทยคงเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในยุคของรัฐบาลคสช. กระทรวง กรม กองต่างๆ คงขานรับเดินงานกันเต็มสูบตามบัญชาของท่านผู้มีอำนาจเต็มและเสนาบดีที่รายล้อม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ หลายเรื่องรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไม่กล้าใช้อำนาจเด็ดขาดเหล่านั้น
นั่นเป็นเพราะ หากดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใดไปโดยที่มีระเบียบข้อบังคับชัดเจน ในยุคของรัฐบาลรัฐประหารนั้นอาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ต่อไปในภายภาคหน้าเมื่ออำนาจเปลี่ยนมือแล้ว ไม่มีใครเดาได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น สำหรับคนที่มุ่งแต่ใช้อำนาจเพื่อให้ได้งานที่จะได้หน้า แต่ละเลยความถูกต้อง ผลการดำเนินงานของรัฐบาลในเวลานี้ที่ไม่ได้ดั่งใจเป็นบทพิสูจน์ที่ดีต่อความกลัวในเรื่องนี้
มาตรา 44 ที่ว่าเด็ดขาด บทที่จะใช้ยังต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองกันอย่างรอบคอบ ส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปในงานด้านการปกครองและความมั่นคงเสียมากกว่า ความจริงหากเป็นคาถาวิเศษบิ๊กตู่คงใช้ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนปากท้องของชาวบ้าน รวมไปสะสางปมด้านเศรษฐกิจไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่
ภาวะภัยแล้งอย่างที่บอกไปวันวานรุนแรงถึงขั้นที่ครม.เศรษฐกิจจะต้องถกเรื่องนี้โดยเฉพาะ ล่าสุด สมหมาย ภาษี รัฐมนตรีคลังออกมายอมรับแล้วว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่หนักหน่วงที่สุดในรอบนับสิบปี หากสถานการณ์ยังไม่กระเตื้องขึ้น ผลกระทบจากภัยแล้งจะทำให้จีดีพีของประเทศลดลงร้อยละ 0.5 ซึ่งนั่นเท่ากับว่าที่ตั้งเป้าว่าจะโตร้อยละ 3.5 ก็ไม่น่าจะเป็นไปตามนั้น
สอดรับกับความเห็นของ บุญเกียรติ โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล ที่บอกว่า สถานการณ์ภัยแล้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะมีผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้บริโภค แต่ในความเห็นของผู้บริหารภาคเอกชนรายนี้ มองว่าคงไม่รุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าห่วงซึ่งย้ำกันมาโดยตลอดคือพี่น้องเกษตรกร
เพราะตรงนี้ถือเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นฐานสำคัญสำหรับกำลังซื้อภายในประเทศ เมื่อราคาผลิตผลตกต่ำจนยากที่จะมองเห็นหนทางกระเตื้อง ประกอบกับภาวะภัยแล้งที่กระหน่ำซ้ำซัด คนเหล่านี้ย่อมไร้แรงซื้อไปโดยปริยาย หรือแม้พอจะมีกำลังแต่ก็ไม่มีแรงกระตุ้นที่จะให้ควักกระเป๋า ส่วนใหญ่เลือกที่จะเก็บมากกว่าจ่าย
ย้อนกลับไปที่ประเด็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา เวลานี้ที่เป็นแกนหลักคงเป็นกลุ่มดาวดินจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นและกลุ่มพลเมืองโต้กลับซึ่งมีนักศึกษาในกรุงเทพฯ หลายสถาบันเป็นแนวร่วม วันนี้ยกระดับเป็นกลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ท้าทายอำนาจของคสช.ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจับกุม
โดยมีการนัดจัดกิจกรรมกันที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปเมื่อวันวาน ซึ่งทุกคนประกาศพร้อมที่จะถูกจับ พร้อมประกาศสร้างกระบวนการประชาธิปไตยใหม่เพื่อเป็นความหวังของประเทศ โดยใช้หลักการ 5 ข้อในสังคมไทยให้กลับคืนมาประกอบด้วย หลักการประชาธิปไตย หลักการสิทธิมนุษยชน หลักการความยุติธรรม หลักการมีส่วนร่วม และหลักการสันติวิธี
ก่อนหน้านี้ที่จังหวัดเลย นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิดีโอคอลไปพูดคุยกับ 7 นักศึกษากลุ่มดาวดิน โดยบอกกับกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวว่า สิ่งที่คุณทำมีความสำคัญอย่างยิ่ง การที่คุณลุกขึ้นมาบอกสังคมว่า เผด็จการทหารไม่แก้ปัญหา ตัวของมันเองนั่นแหละที่เป็นปัญหา แค่นี้ก็เป็นความกล้าหาญที่คนรุ่นผมจะต้องแสดงความนับถืออย่างสูง
แต่ที่เหนือกว่าการออกมาบอกว่าการรัฐประหารของเผด็จการทหารนั้นไม่แก้ปัญหาและตัวมันเองยังเป็นปัญหา อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากคือ เผด็จการทหารทำให้อำนาจต่อรองของประชาชนเล็กๆ จำนวนมากในสังคมหายไปหมด แม้แต่ในระบอบประชาธิปไตยปกติพวกเขาก็มีอำนาจต่อรองน้อยอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร อำนาจต่อรองที่มีอยู่น้อยนิดกลับหมดไป
มองจุดยืนของนักศึกษาเหล่านั้นตามคำยกย่องของอาจารย์นิธิ นำไปเทียบเคียงกับหลักการของ ชวน หลีกภัย ที่ไปปาฐกถาเรื่องหลักนิติธรรม สร้างนิติรัฐ ค้ำจุนประชาธิปไตย เมื่อวันก่อน ทำให้เห็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะนายหัวยังยึดโยงหลักการเดิมที่ว่า คนที่มาจากการเลือกตั้งมีทั้งพวกที่มาโดยสุจริต พวกซื้อเสียง และพวกที่ทุจริตเข้ามา
แผ่นเสียงตกร่องนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันอย่างดี รวมไปถึงมีการเน้นย้ำว่าสิ่งนี้บอกให้รู้ว่าในอนาคต วิธีการรักษาบ้านเมืองให้อยู่รอดได้คือการเลือกคนดีเข้ามา จึงมีคำถามว่า คนดีของชวนคือคนประเภทไหน เช่น พวกที่เอาที่ดินสปก.ไปแจกให้นายทุน พวกที่ทำโครงการสร้างโรงพักทดแทน 396 แห่งกลายเป็นโรงพักร้างอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นคนดีประเภทนี้ขอช่วยรับรองอีกคนว่าประเทศนี้เจริญฮวบๆ แน่นอน