ภาษีกำไรขายหุ้น
การเสนอให้จัดเก็บ “ภาษีกำไรขายหุ้น” หรือ Capital Gains Tax ของสภาพัฒน์
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
การเสนอให้จัดเก็บ “ภาษีกำไรขายหุ้น” หรือ Capital Gains Tax ของสภาพัฒน์
ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย
หากจำกันได้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เสนอไปยังรัฐบาลมาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งเรื่องจะเงียบหายไป
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ทางกระทรวงการคลัง เขาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
ยิ่งล่าสุดได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากร
เขาก็บอกเป็นทำนองว่า “เป็นเรื่องเก่ามาเล่าใหม่”
นั่นคือ สภาพัฒน์ มักจะใช้โอกาสที่ได้ไปพูดในงานสัมมนาต่าง ๆ และมักจะหยิบเรื่องนี้มาพูดทุกครั้ง
ในมุมมองของสภาพัฒน์ที่ยังไม่ยอมถอยเรื่องนี้
เขามองว่า การจัดเก็บภาษีกำไรขายหุ้น จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชากรไทยได้อีกทางหนึ่ง
เข้าใจว่าสภาพัฒน์ มองว่า คนเล่นหุ้น หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็น “คนรวย” หรือมีอันจะกิน ทั้งที่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
กลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นมีทุกระดับ
หรือไล่ตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่นที่เรียนมหาวิทยาลัย คนเพิ่งเริ่มทำงาน หรือทำงานประจำมานานแล้ว กลุ่มนักลงทุนจริง ๆ และกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณ
คนที่ร่ำรวยจากตลาดหุ้นจริง ๆ หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มีจำนวนไม่มากหรอก
ในมุมกลับกันคนที่ขาดทุนจากตลาดหุ้นอาจมีจำนวนมากกว่าด้วย
ดังนั้น ประเด็นเรื่อง “ลดความเหลื่อมล้ำ” ด้วยการเก็บภาษีจาก Capital Gains Tax จึงดูแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลมีนโยบายเรื่องการเปิดเสรีตลาดทุน
นโยบายต่าง ๆ ที่ขัดต่อการเปิดเสรี หรือจะเป็นอุปสรรคจึงไม่ควรถูกนำมาใช้
จะว่าไปแล้ว ทุกวันนี้ภาษีที่จัดเก็บจากตลาดหุ้นมีมาจากหลายธุรกรรม เช่น บริษัทจดทะเบียน (บจ.) เงินปันผล
ส่วนธุรกรรมการซื้อขายหุ้น จะมีการหักภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากค่าคอมมิชชั่นที่นักลงทุนต้องเสียให้กับโบรกฯ อยู่แล้ว และหากยังมี Capital Gains Tax อีก ตลาดหุ้นคงมีแต่จะถอยหลัง
เรื่องนี้ แน่นอนว่าคนในวงการตลาดหุ้นคัดค้านแน่นอน
มีการเปรียบเทียบกับประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ด้วยกัน
พบว่า ไม่มีประเทศไหนเลยที่จัดเก็บภาษีประเภทนี้
อย่างในย่านอาเซียน ไม่มีแน่นอน
ส่วนประเทศที่จัดเก็บนั้น จะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ที่ตลาดหุ้นเขาเกิดมาแล้ว 200 ปี นักลงทุนเข้าใจเรื่องการลงทุนอย่างดี และอีกหลาย ๆ ปัจจัย
ฉะนั้น เรื่องภาษีอะไรต่าง ๆ ที่เขาจัดเก็บ เขาก็จะศึกษาแล้วว่า ไม่ได้มีผลกระทบกับตลาดหุ้นหรือการลงทุน
จึงมีข้อเสนอกลับไปว่า เวลาจะเสนอเรื่องอะไร ก็ควรจะเปรียบเทียบกับขนาดของตลาดหุ้น ขนาดเศรษฐกิจของประเทศ และอีกหลาย ๆ ปัจจัยเข้ามาประกอบ
ทว่า เรื่องนี้ยังอาจจะพอเบาใจได้
เพราะเป็นการเสนอมาจาก “ช้าราชการประจำ” อย่างสภาพัฒน์
ไม่ได้เป็นแนวคิดของนักการเมือง หรือรัฐมนตรีที่ทำงานด้านเศรษฐกิจ ที่ส่วนใหญ่จะมีความเข้าใจเรื่องของตลาดหุ้นมาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เชื่อว่าเรื่องนี้ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจจะไม่เห็นด้วย
หรือ “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลังที่ให้สัมภาษณ์กับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ก็บอกเป็นทำนองไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่
โดยบอกว่า เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร และจะต้องศึกษาให้รอบคอบ
ขณะที่กรมสรรพากรเองก็บอกแล้วว่านี่คือ “เรื่องเก่า”
แม้ว่าจะไม่ได้บอกชัดเจนว่าจะเก็บหรือไม่เก็บนั้น
แต่มีการบอกเป็นนัยว่า ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้แน่นอน
หรือหากจะเกิดขึ้นจริง ๆ
นั่นหมายความว่า ตลาดหุ้นไทยจะต้องพร้อม 100% หรือไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ นั่นแหละ