พาราสาวะถี
เพื่อการสืบทอดอำนาจย่อมทำได้ทุกอย่าง สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรม “@prayutofficial” โดยสวมชุดวอร์มทะมัดทะแมง พร้อมข้อความ “วันหยุด มาออกกำลังกายกันครับ #ผมพร้อม????” แน่นอนว่าการติดแฮชแท็กคำว่าผมพร้อมนั้น สื่อความหมายแบบไม่ต้องปิดบังอะไรคือ พร้อมที่จะกลับมามีอำนาจอีกกระทอกผ่านแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ
อรชุน
เพื่อการสืบทอดอำนาจย่อมทำได้ทุกอย่าง สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรม “@prayutofficial” โดยสวมชุดวอร์มทะมัดทะแมง พร้อมข้อความ “วันหยุด มาออกกำลังกายกันครับ #ผมพร้อม????” แน่นอนว่าการติดแฮชแท็กคำว่าผมพร้อมนั้น สื่อความหมายแบบไม่ต้องปิดบังอะไรคือ พร้อมที่จะกลับมามีอำนาจอีกกระทอกผ่านแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ
หลังจากออกอาการเครื่องรวนเพราะวางแผนปราศรัยไว้หลายจุดเพื่อรับการขึ้นเวทีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่เมื่อคนที่เชิญใจไม่กล้าพอขอเดินเกมแบบเพลย์เซฟ จึงจำเป็นต้องปรับแผนกันใหม่ ทว่าทำไปทำมาก็เกิดการแย่งตัวหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคไปขึ้นเวทีกันเสียฉิบ ระหว่างกลุ่มสามมิตรอันมี สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับ สมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นแกนนำ กับ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แกนนำกลุ่มกทม. คนที่ปาดหน้าคว้าตำแหน่งปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 ของพรรคไปครอบครอง
ก่อนที่จะออกมาแก้ต่างแก้ตัวกันว่าเป็นความเข้าใจผิด ไม่มีการเหยียบตาปลากันใด ๆ ทั้งสิ้น ช่วงที่ยังประคบประหงมกันอยู่ คงต้องแกล้งยอม ๆ กันไปก่อน แต่เชื่อได้เลยว่า หลังการกลับมาของผู้นำเผด็จการฟันธงไว้ตรงนี้ได้เลยว่า การแย่งชิงเก้าอี้และการนำภายในพรรคสืบทอดอำนาจจะหนักหน่วงรุนแรงหลายเท่าตัว และจะเกิดภาพไม่มีใครยอมใคร
เห็นได้จากการจองเก้าอี้รัฐมนตรีกันตั้งแต่ไก่โห่ นี่เฉพาะแค่ภายในพรรคเดียวกัน ยังไม่นับรวมพรรคที่จะไปดึงมาร่วม ซึ่งหากตัวเองไม่ชนะเลือกตั้งหรือแพ้แล้วได้เก้าอี้ไม่มากพอ เกมการต่อรองยิ่งจะเข้มข้นและสุดท้ายก็จะเข้าสูตรยอมเสียกระทรวงเกรดเอเพื่อให้ขุนของพรรคได้ก้าวสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศ เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าอะไรก็ต้องยอมกันสถานเดียว
จากความที่เป็นพรรคเส้นใหญ่ด้วยบารมีของคนที่ถือมาตรา 44 อยู่ในมือ ที่เคยกระมิดกระเมี้ยน อ้างกันว่าสถานะรัฐมนตรีที่เคยมีหัวโขนไม่ได้สร้างความได้เปรียบ แต่วันนี้ สิ่งที่ อุตตม สาวนยน หัวหน้าพรรคสืบทอดอำนาจออกอาการองุ่นเปรี้ยวมะนาวหวาน กลับกลายเป็นเหมือนการสารภาพด้วยประโยคที่ว่าพลเอกประยุทธ์ไม่ต้องมาช่วยหาเสียงก็ได้แค่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ช่วยได้เยอะแล้ว
ตรงนี้หมายความว่าอะไร คือการสื่อถึงว่าการมีคนของพรรคที่อยู่ในอำนาจรัฐจะเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคอย่างมหาศาลเช่นนั้นหรือไม่ การบอกว่าเก้าอี้นายกฯ ช่วยได้เยอะนั้น มันเหมือนกับใบเสร็จที่ตอกย้ำถึงความอยุติธรรมในการเลือกตั้งครั้งนี้ การที่มีอำนาจเต็มทำอะไรก็ได้ตามคำที่ วิษณุ เครืองาม บอก มันก็เท่ากับการส่งสัญญาณไปในตัวว่า ใครอย่าได้หือ
อย่างที่บอกไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปช่วยหาเสียงหรือขึ้นเวทีปราศรัยให้เสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย สู้ไปตรวจพื้นที่ตามจังหวัดต่าง ๆ ด้วยหัวโขนนายกฯ และหัวหน้าคสช.นี่แหละ เข้ม ขลังและเป็นประโยชน์กว่ากันเยอะเลย ใครก็เอาผิดไม่ได้ ไม่ต้องถามถึงองค์กรที่จัดการการเลือกตั้ง เห็นการประคองตัวเองไม่ให้ถูกเล่นงานด้วยมาตรายาวิเศษก็น่าจะบอกอะไรได้อย่างกระจ่างชัด
การปรับแผนโค้งสุดท้ายที่แกนนำของพรรคสืบทอดอำนาจมั่นใจว่าจะช่วยให้กวาดส.ส.ได้ตามเป้าคือไม่ต่ำกว่า 150 ที่นั่งนั้น เล่นกันง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ในเมื่อไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัยและไปช่วยหาเสียง ก็ไปตรวจราชการไล่หลังจังหวัดที่พรรคของตัวเองไปปราศรัยไว้ก่อนหน้ามันเสียเลย ตามกำหนดการตรวจงานของท่านผู้นำที่ปรากฏเป็นข่าว
ไม่จำเป็นต้องสนใจเสียงวิจารณ์ใด ๆ เพราะไม่เคยฟังอยู่แล้ว ต้องดูว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่คือ 13 มีนาคม ตรวจราชการจังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา ซึ่งพลังประชารัฐเดินสายไปหาเสียงที่สองจังหวัด ในวันที่ 10 มีนาคม จากนั้น 16 มีนาคม ไปจังหวัดเชียงราย ขณะที่พรรคสืบทอดอำนาจมีตารางหาเสียง 11 มีนาคม ปิดท้ายด้วย 20 มีนาคมมีกำหนดลงติดตามตรวจราชการที่นครศรีธรรมราช โดยพลังประชารัฐมีตารางเดินทางไปจังหวัดดังกล่าว 12 มีนาคม
ยุคนี้ต้องทำใจ อะไรที่นักการเมืองเคยทำแล้วถูกกล่าวหาว่าใช้ไม่ได้ต้องปฏิรูป เราจะได้เห็นพฤติกรรมที่ยิ่งกว่านักการเมืองหลายเท่าตัว คู่ขนานกับการเลือกตั้งส.ส.คือการคัดเลือกส.ว.ลากตั้ง ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา กรรมการที่เปิดตัวก็มีวิษณุ ส่วนคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง อ้างกันว่าป้องกันการวิ่งเต้น แม้จะมีหลายคนเห็นว่านี่เป็นข้ออ้างหรือคำแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ ของเนติบริกรประจำรัฐบาลก็ตาม
รายชื่อ 400 คนถูกส่งให้คสช.แล้วตามเดดไลน์คือภายใน 9 มีนาคม โดยคสช.จะรับไปพิจารณาต่อเพื่อจิ้มให้เหลือ 194 คน ทั้งหมดก็จะไม่ได้รับการเปิดเผยรายชื่อเช่นเดียวกันด้วยเหตุผลต้องตรวจสอบคุณสมบัติกันให้ครบถ้วนก่อน สิ่งสำคัญคือกฎหมายใหม่คนที่จะได้เป็นส.ว.มีการกำหนดห้ามเป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งส.ส.ด้วยจะต้องตรวจสอบกันละเอียดยิบ
โดยเงื่อนเวลาที่เราจะได้ คสช.ได้เห็นโฉมหน้าของส.ว.ลากตั้งชุดประวัติศาสตร์ที่จะไปยกมือโหวตเลือกผู้นำเผด็จการมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอกนั้น จะไปประกาศกันภายใน 3 วันหลังประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส. แต่เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ นาทีนี้ปรากฏชื่อของ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.น้องชายของบิ๊กป้อมมีรายชื่อเป็นผู้ได้รับการสรรหาด้วย
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าตกใจอะไรสำหรับคนทั่วไป หากแต่จะสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายที่หนุนอำนาจเผด็จการ เนื่องจากน้องชายบิ๊กป้อมนั้นถือเป็นคู่กรณีโดยตรงกับม็อบเสื้อเหลือง แต่เมื่อคดีความได้ยุติไปแล้ว ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีก ความจริงเรื่องส.ว.ลากตั้งไม่ต้องคิดอะไรมาก คนที่เลือกมาต้องไว้ใจและเชื่อใจได้ เพราะมีหน้าที่ไปโหวตเลือกนายกฯของขบวนการสืบทอดอำนาจ ดังนั้น การเลือกญาติมิตรของผู้มีอำนาจจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่เห็นต้องสนว่าชอบธรรมหรือถูกใจใครหรือเปล่า