BGRIM ลั่นรายได้ปี 62 โตแตะ 20% เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มใน “GLOW SPP1” 2 โครงการ ขนาด 70 MW
BGRIM ลั่นรายได้ปี 62 โตแตะ 20% เล็งลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มใน "GLOW SPP1" 2 โครงการ ขนาด 70 MW
นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ตกลงเข้าซื้อบริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด มูลค่า 3.3 พันล้านบาทไปแล้วนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่มาทดแทนของเดิม 2 โรง กำลังการผลิต 70 เมกะวัตต์/โรง
สำหรับโรงไฟฟ้า SPP1 ที่ได้ซื้อมานั้น มีอายุเหลือ 6 ปี ก่อนที่จะเข้าสู่ Replacement Theme โดยบริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าดังกล่าวตั้งแต่เดือน เม.ย. 62 ทันที ซึ่งที่ผ่านมาโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีรายได้ปีละ 3 พันล้านบาท และมี EBITDA อยู่ที่ราว 650 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการโครงการพลังงานไฟฟ้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานทดแทน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติรวม 2-3 แห่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ โดยกิจการในต่างประเทศจะเน้นในกลุ่มอาเซียน ขนาดกำลังการผลิตโรงละ 100-300 เมกะวัตต์
อีกทั้งบริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยโครงการในประเทศนั้นบริษัทสนใจลงทุนในโครงการ IPP ที่จะเปิดประมูล และโครงการอื่นๆ ในแผน PDP ฉบับใหม่ ส่วนโครงการในต่างประเทศบริษัทสนใจลงทุนในหลายประเทศ ขนาดกำลังการผลิตราว 800 เมกะวัตต์ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าในเกาหลีใต้ อีกทั้งยังสนใจลงทุนโครงการพลังงานลมกำลังการผลิต 100-150 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาด้านเทคนิคและเจรจาสัญญาต่างๆ
รวมไปถึงสนใจลงทุนโครงการพลังงานฟอสซิลในมาเลเซีย กำลังการผลิต 200-250 เมกะวัตต์ ที่ยังมีโอกาสการเติบโตทั้ง SPP และ IPP โดยยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมกับพันธมิตร
ส่วนการลงทุนอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา เช่น การลงทุนโครงกาโซลาร์ฟาร์มในฟิลิปปินส์ กำลังการผลิต 50-200 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปลายปีนี้ โครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามที่มีโอกาสต่อเนื่องจากโครงการที่ดำเนินการอยู่ โครงการพลังงานทดแทนในกัมพูชา กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ คาดว่ารัฐบาลจะเปิดประมูลในช่วงไตรมาส 3/62 และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว กำลังการผลิต 350 เมกะวัตต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตร
นายนพเดช กล่าวเพิ่มว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปี 62 ไว้ที่ 1.6-2 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการเดิม 1.4 หมื่นล้านบาท และอีก 6 พันล้านบาทจะใช้สำหรับการลงทุนโครงการใหม่ๆ ขณะเดียวกันบริษัทวางแผนลดต้นทุนการเงินลงเหลือ 4.2-4.4% จากปัจจุบันที่ 4.6% จากทั้งการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินและการออกหุ้นกู้
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2/62 ที่จะมีเงินกู้ครบกำหนด 2.3 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะจัดหาเงินระดมทุนจากใดมาชำระคืน และช่วงครึ่งปีหลังมีแผนจะออกหุ้นกู้ราว 5-7 พันล้านบาท
ด้านรายได้รวมของบริษัทในปี 62 คาดว่าจะเติบโต 15-20% จากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่เริ่ม COD ในปี 61 และยังคาดว่าแนวโน้มที่ค่า Ft อาจจะปรับตัวดีขึ้น ส่งผลต่อรายได้และต้นทุนหลัก คือ ก๊าซ ซึ่งจะมีส่วนต่างกำไรเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้มาร์จิ้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย และยังได้มีการลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรในความร่วมมือเกี่ยวกับการปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีสมรรถนะความพร้อมและประสิทธิภาพที่สูงขึ้น รวมทั้งจะมีการนำระบบดิจิทัลมาใช้งานเดินเครื่องและบำรุงรักษาในอนาคตอีกด้วย
อีกทั้งในปีนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam Che กำลังการผลิตติดตั้ง 15 เมกะวัตต์ ที่คาดว่าจะ COD ได้ในครึ่งแรกของปี 62 และโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม 5 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนด COD สิ้นปี 62 เข้ามาสนับสนุนรายได้ และกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เพิ่มขึ้น ทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,896 เมกะวัตต์ และคาดว่าจะมีโครงการเพิ่มเข้ามาทุกปี โดยกำลังการผลิตจะเติบโตอีก 56% สู่ 3,245 เมกะวัตต์ในปี 68 พร้อมกับการเดินหน้าขยายลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มเพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่ที่ 5,000 เมกะวัตต์