พาราสาวะถี

ยิ่งชักช้า ยิ่งลีลา ยิ่งทำให้คนและองค์กรเสียหายหนักข้อเข้าไปทุกวัน เริ่มจากความไม่ไว้วางใจตั้งแต่ตั้งไข่ จนกระทั่งจัดการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์เสร็จสิ้น ลามไปถึงขั้นเข้าชื่อถอดถอนคณะบุคคลที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเรียก 7 เสือเพราะพฤติกรรมที่ทำไว้จะเรียกว่าแมวที่เชื่องเชื่อฟังเจ้าของก็ยังดูดีไป นี่คือความเลวร้ายอีกหนกับองค์กรที่ต้องได้รับความเชื่อถือและศรัทธาจากประชาชน


อรชุน

ยิ่งชักช้า ยิ่งลีลา ยิ่งทำให้คนและองค์กรเสียหายหนักข้อเข้าไปทุกวัน เริ่มจากความไม่ไว้วางใจตั้งแต่ตั้งไข่ จนกระทั่งจัดการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์เสร็จสิ้น ลามไปถึงขั้นเข้าชื่อถอดถอนคณะบุคคลที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากเรียก 7 เสือเพราะพฤติกรรมที่ทำไว้จะเรียกว่าแมวที่เชื่องเชื่อฟังเจ้าของก็ยังดูดีไป นี่คือความเลวร้ายอีกหนกับองค์กรที่ต้องได้รับความเชื่อถือและศรัทธาจากประชาชน

มีแขกไปยื่นร้องเรียนไม่เว้นในแต่ละวัน ปกติจะเน้นหนักกันที่ข้อกล่าวหาและให้ตรวจสอบคู่แข่งหรือพรรคคู่แข่ง แต่ปรากฏว่ารอบนี้มีการไปร้องเรียนให้กกต.เปิดเผยผลการนับคะแนนให้โปร่งใสทั้งจำนวนผู้มาใช้สิทธิ บัตรดี บัตรเสีย บัตรไม่ลงคะแนน คะแนนเลือกตั้งทุกหน่วย คะแนนผู้สมัครแต่ละคน จนวันนี้ผ่านมา 3-4 วันแล้ว กกต.จะอ้างว่ายังนับไม่เสร็จคงไม่มีใครเชื่อ

ต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจนระหว่างการเปิดเผยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการกับการประกาศรับรองผลเลือกตั้ง เพราะคะแนนดิบที่ออกมานั้นคือผลการหย่อนบัตรเลือกตั้งของประชาชน ส่วนผลการวินิจฉัยของกกต.จะแจกใบส้ม ใบเหลือง ใบแดงให้กับผู้สมัครรายใดนั้นค่อยว่ากันทีหลัง อย่างน้อยเบื้องต้นคนจะได้เห็นภาพว่าพรรคไหนได้คะแนนเท่าไหร่ จะได้ไม่ต้องมานั่งฟังการอ้างเรื่องเสียงส.ส.เขตกับป๊อปปูลาร์โหวตอย่างที่เห็นกันอยู่

อย่ามาอ้างว่ายังนับไม่เสร็จ เพราะยุคสมัยนี้ไม่มีอะไรจะปิดบังกันได้ การเดินทาง การคมนาคม รวมทั้งการสื่อสารสะดวกสบาย ยิ่งใช้งบประมาณไปกว่า 5,800 ล้านบาท แล้วบอกว่าติดขัดโน่นนี่นั่น กกต.ทั้ง 7 คน รวมทั้งผู้ที่มีอำนาจทั้งหมดในองค์คร ยิ่งควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะถือว่าทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไป

สิ่งที่สังคมคาใจคือในเมื่อนับเสร็จแล้ว “รออะไร” จะมาบ่นว่าถูกจับผิดทุกขั้นตอนจนไม่ต้องเป็นอันทำงานทำการ คงไม่ถูกต้องและถ้าคิดเช่นนี้ก็ไม่สมควรที่จะทู่ซี้อยู่ทำหน้าที่อีกต่อไป เพราะคนที่จะมาทำงานตรงนี้ต้องใจกว้าง พร้อมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์และรับแรงกดดันจากทุกด้าน หากยังอยากพิสูจน์ว่าเป็นองค์กรอิสระ การทำงานที่ผ่านมาจนถึงวันนี้อันเกี่ยวกับการเลือกตั้งโปร่งใส ก็ให้รีบเปิดเผยผลคะแนนออกมา

อย่างที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ว่า คสช.มาเดี๋ยวก็ไปแต่กกต.ยังอยู่กับประชาชนไปอีกนาน อย่าทำตัวเป็นพวกทาสที่ซื่อสัตย์หรือหงอหัวหดเพราะกลัวอำนาจมาตรา 44 ถ้าใจเสาะขนาดนี้ก็ไม่สมควรที่จะขันอาสามาทำงานกันตั้งแต่แรก พฤติกรรมหลังวันเลือกตั้งผ่านปรากฏการณ์แสดงออกของประชาชนทุกช่องทางน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ความพึงพอใจการทำงานขององค์กรแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

ที่น่าสนใจและเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยก็คิดไม่ต่างกัน เป็นความเห็นจาก จาตุรนต์ ฉายแสง คนประชาธิปไตยตัวจริงที่โพสต์ข้อความล่าสุด เมื่อยังต้องรอใบเหลืองใบส้มใบแดง จะประกาศผลอย่างไม่เป็นทางการก่อนก็เข้าใจได้ แต่ไม่ประกาศคะแนนของใครแม้แต่คนเดียวนี่ไม่เข้าใจจริง ๆ โดยจาตุรนต์ได้ติดแฮชแท็ก#กกต.ไม่โปร่งใส ในท้ายประโยคด้วย

การนับคะแนนเสร็จสิ้นตั้งแต่คืนวันที่ 24 มีนาคม ผลการนับคะแนนก็อยู่ที่กกต.แต่ละจังหวัด จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ประกาศผลการนับคะแนน การเลือกตั้งครั้งก่อน ๆ ผลแพ้ชนะชัดเจน การให้ใบเหลืองใบแดงไม่มีผลต่อภาพรวม แต่ครั้งนี้เมื่อสองฝ่ายได้ส.ส.สูสีใกล้เคียงกัน การให้ใบเหลืองใบส้มใบแดงจะมีผลต่อการได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร กกต.อาจมีบทบาทเป็นผู้กำหนดว่าฝ่ายไหนจะได้เสียงข้างมาก หรือว่าด้วยเหตุนี้จึงเกิดอาการลับ ๆ ล่อ ๆ กลายเป็นกกต.ไม่โปร่งใส

การทำงานในลักษณะที่เป็นอยู่นี้บอกได้คำเดียวว่า มีโอกาสที่กกต.ชุดนี้จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้ตลอดเวลา เอาแค่ปมการวินิจฉัยให้บัตรเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรจากนิวซีแลนด์ที่มาถึงล่าช้าจำนวน 1,542 ใบกลายเป็นบัตรเสียทั้งหมด ก็มีคนที่จองกฐินจะไปฟ้องเอาผิดกันแล้ว ยังไม่นับรวมอีกหลายกรณี หรือว่าจะโร่ไปขอม.44 คุ้มกะลาหัวกันอีกกระทอก

อย่าคิดว่าเสียงทักท้วงเรื่องความไม่โปร่งใสนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย เพราะแถลงการณ์ของ มาร์ค ฟีลด์ รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศด้านเอเชียและแปซิฟิกของอังกฤษ ก็เป็นหลักฐานประจานกระบวนการทำงานขององค์กรจัดการเลือกตั้งของไทยไปทั่วโลกแล้ว ในเรื่องความไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ที่มีรายงานเข้ามานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อให้การเลือกตั้งมีความน่าเชื่อถือและให้ได้ผลอย่างชัดเจนโดยเร็วที่สุด

ขนาดต่างชาติยังรู้และได้รับรายงาน แล้วกกต.ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงจะไม่รับรู้รับทราบเรื่องการทุจริตต่าง ๆ เหล่านี้เลยหรือ จึงอยู่ในภาวะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ กลายเป็นขี้ปากของผู้คนในสังคม พฤติกรรมประเภทเรื่องสำคัญใช้การแจกเอกสารแถลงข่าว แทนการตอบคำถามของสื่อมวลชนนั้น เป็นภาพสะท้อนอย่างหนึ่งต่อความขลาดของผู้มีอำนาจตามกฎหมาย แต่เกรงใจหรือกลัวอำนาจเผด็จการที่เหนือกว่า

ชอบธรรมหรือไม่แล้วแต่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ตอบ แต่กรณี 6 พรรคการเมืองที่มีเพื่อไทยเป็นแกนหลักตั้งโต๊ะแถลงจับมือกันตั้งรัฐบาลนั้น ถือเป็นความถูกต้องตามกลไกของประชาธิปไตยที่เป็นปกติ ยิ่งมีประเด็นที่ร่วมกันรวมพลังหยุดสืบทอดอำนาจเผด็จการ สร้างรัฐบาลประชาธิปไตย และลงสัตยาบันกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคสช.ด้วยแล้ว ยิ่งถือเป็นการแสดงออกที่เด่นชัดว่าไม่ได้ตกอยู่ใต้อาณัติของคนถืออำนาจและไม่ได้แทงกั๊กที่จะรอเสียบเพื่อถอนทุนแต่อย่างใด

ผิดกับอีกพรรคที่ตั้งโต๊ะแถลงอ้างว่าอย่ามากล่าวหาว่าไม่ใช่พรรคฝ่ายประชาธิปไตย เพราะเมื่อเข้าสู่ระบบเลือกตั้งแล้วก็ถือเป็นประชาธิปไตย นี่เป็นคำพูดฟอกขาวของพวกเผด็จการแปลงร่าง ลองมองย้อนกลับไปถึงรากที่มาของตัวเองจนกระทั่งแคนดิเดตนายกฯ ถามว่ามีสิ่งไหนที่ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจหรือเกิดมาจากปลายกระบอกปืนบ้าง หากจะคิดแบบไม่ต้องอะไรมากก็ย้อนกลับไปยังสิ่งที่ย้ำมาตลอด ไม่มีเผด็จการใดในโลกที่จะไม่หน้าด้าน สิ่งที่เห็นและเป็นไปในเวลานี้ก็เช่นกัน.

Back to top button