พาราสาวะถี

ไม่น่าเชื่อ ยิ่งนานวันยิ่งเห็นอาการดิ้นรนของคนไม่โปร่งใส อธิบายยังไงสังคมก็ไม่เลิกกังขา ถามว่าเห็นใจหรือไม่ ตอบได้คำเดียวว่าไม่ ใช่ว่าใจร้าย แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ หากกกต.ที่เป็นคณะทำงานกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้น คนเห็นอาการกันตั้งแต่ตอนแบ่งเขตเลือกตั้งกันแล้ว มีอย่างที่ไหนอำนาจเต็มในมือ แต่ไม่รู้โดนของอะไรทำให้เกิดพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ สุดท้ายต้องไปพึ่งใบบุญม. 44 ซุกใต้ร่มเงาเผด็จการ


อรชุน

ไม่น่าเชื่อ ยิ่งนานวันยิ่งเห็นอาการดิ้นรนของคนไม่โปร่งใส อธิบายยังไงสังคมก็ไม่เลิกกังขา ถามว่าเห็นใจหรือไม่ ตอบได้คำเดียวว่าไม่ ใช่ว่าใจร้าย แต่ทั้งหมดทั้งมวลจะไม่เกิดปัญหาใด ๆ หากกกต.ที่เป็นคณะทำงานกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่ต้น คนเห็นอาการกันตั้งแต่ตอนแบ่งเขตเลือกตั้งกันแล้ว มีอย่างที่ไหนอำนาจเต็มในมือ แต่ไม่รู้โดนของอะไรทำให้เกิดพฤติกรรมลับ ๆ ล่อ ๆ สุดท้ายต้องไปพึ่งใบบุญม. 44 ซุกใต้ร่มเงาเผด็จการ

มาวันนี้ ผ่านพ้นเลือกตั้งไปแล้วแต่พฤติกรรมที่คนหวังว่าน่าจะยืดอก แสดงออกถึงความเที่ยงธรรม ทำงานกันด้วยความเป็นกลาง รวดเร็ว กลับตรงข้าม หย่อนบัตรไปแล้ว 1 สัปดาห์ สถานการณ์การเมืองของประเทศเต็มไปด้วยความอึมครึม และเสียงวิจารณ์อื้ออึงหนักไปในทางยกมือไม่ไว้วางใจกกต. หนักข้อกันถึงขั้นล่าชื่อหรือตั้งโต๊ะถอดถอน

ขนาดกระแสกดดันถึงเพียงนี้ แต่คนเหล่านั้นก็หาได้อินังขังขอบไม่ แทนที่จะกลับหลังหันมาเป็นที่พึ่งที่หวังของสังคม แต่กลับไปตั้งป้อมชี้แจงในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าเป็นการแก้ตัวแบบเด็ก ๆ ที่งงกันเป็นแถวคงเป็นคำว่า “บัตรเขย่ง” หลายคนถึงกับบอกเกิดจากท้องพ่อท้องแม่มาเพิ่งเคยได้ยิน คิดว่าทำให้คนมึน ๆ งง ๆ แล้วจะเลิกสงสัย กลับไม่เป็นเช่นนั้น มีการตั้งคำถามต่อและกลายเป็นการบ้านให้ต้องไปหาคำตอบมาให้สาธารณชนอีกต่างหาก

ถ้าหากบอกว่าบัตรเขย่งเป็นเรื่องของคนที่รับบัตรเลือกตั้งไปแล้วแต่แถวยาวเลยตัดสินใจไม่ลงคะแนน คำถามคือ แม้จะมีแค่ 9 ใบ แล้วเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งนั้น ๆ ปล่อยให้คนเหล่านั้นถือบัตรออกจากคูหาแล้วหายไป โดยไม่แยแสใด ๆ เลยหรือ เรื่องพรรค์นี้ต้องตั้งกรรมการสอบเพราะสังคมมองว่ามันเป็นความบกพร่องผิดพลาดของเจ้าหน้าที่อย่างชัดเจน นี่ยังไม่นับรวมพฤติกรรมการนับคะแนนที่สุดแสนจะอัปลักษณ์ซึ่งถูกประจานกันผ่านหน้าโซเชียลอย่างหนักหน่วง

ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงเย็นวันศุกร์ปรากฏว่า จรุงวิทย์ ภุมมา พร้อมคณะตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจงประเด็นเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือถูกนักข่าวที่เฝ้ากกต.ด่าเปิง เหตุทำตัวเหมือนการ “แอบแถลง” เพราะนักข่าวถามฝ่ายสำนักงานที่จัดการเรื่องแถลงยืนยันกันหนักแน่น ไม่มีแถลงใด ๆ หลังจากที่ได้ออกเอกสารชี้แจงไปหนึ่งรอบอธิบายประเด็นปัญหาระบบรายงานผลมีปัญหาและการถูกแฮ็กเกอร์พยายามเจาะฐานข้อมูล

เมื่อมาดำเนินการกันแบบฉุกละหุกเช่นนี้ บรรดานักข่าวก็ตกหมายกันระนาว มีบางคนของขึ้นถึงกับตั้งคำถามว่าแอบแถลงกันแบบนี้กลัวตอบคำถามไม่ได้หรือยังไง มุบมิบงุบงิบแบบนี้มันสะท้อนภาพไม่สุจริต เที่ยงธรรมอย่างเด่นชัด นี่แหละที่เขาว่ากรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา สิ่งที่อรชุนบอกมาโดยตลอดคือเรื่อง “โกงสะบัด” จากที่คนจำนวนไม่น้อยไม่เห็นด้วยและคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในยุคนี้ สิ่งที่เห็นและเป็นไปคงจะบ่งบอกอะไรได้ไม่มากก็น้อย

สำหรับตัวเลขที่งอกออกมาจนตกเป็นขี้ปากและทำให้พรรคการเมืองถึง 12 พรรครับส้มหล่นได้ส.ส.ไปพรรคละคน ส่งผลให้ในสภา 500 ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะมีพรรคการเมืองที่มีส.ส.ในสภามากถึง 27 พรรค ด้วยเหตุนี้ กรวีร์ ปริศนานันทกุล ว่าที่ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคภูมิใจไทยจึงมีปุจฉาว่า เราฝันอยากจะเห็นการเมืองที่มั่นคง มีเสถียรภาพ ถ้านี่คือผลของการปฏิรูปการเมืองที่คนไทยเอาประชาธิปไตยไปแลกมา 5 ปี คำถามคือ “คุ้มไหม ?? และจะเอาอีกไหม ??”

จะเอาอีกไหมในความหมายของกรวีร์ไม่รู้ว่าสื่อถึงอะไร แต่หากคือการรัฐประหาร มันก็จะมีคำถามย้อนกลับไปยังต้นสังกัดของว่าที่ส.ส.รายนี้คือ แล้วจะสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของผู้นำเผด็จการคสช.หรือไม่ เจ้าตัวอาจไม่ต้องตอบเพราะเชื่อว่าภายในพรรคคงจะกดดันไม่น้อย ถึงขนาดที่หัวหน้าพรรคลั่นผ่านเฟซบุ๊ก หากใครยังไม่พอใจเที่ยวหน้าก็ไม่ต้องเลือกพรรคภูมิใจไทย ก่อนจะลบข้อความไปในเวลาอันรวดเร็ว

เหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เห็นสถานการณ์ความไม่ปกติ และเกมการต่อรองอันเข้มข้น เพราะหากพรรคการเมืองมีจุดยืนในเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลยต่อการที่จะประกาศให้สาธารณชนสิ้นสงสัยว่าจะเลือกเดินแบบใด ไม่ต้องมาอ้างเรื่องรอการรับรองผลอย่างเป็นทางการจากกกต.ก่อนแล้วค่อยแสดงท่าที นั่นเป็นการกั๊กที่ทุกคนก็รู้ว่าเพื่ออะไร ยิ่งเกิดกับพรรคการเมืองค่ายนี้ที่เคยได้แบบเต็ม ๆ คราวรัฐบาลเทพประทาน คนยิ่งไม่ไว้วางใจ

ส่วนค่ายเก่าแก่ความพ่ายแพ้แบบหมดรูปอาจทำให้อดีตหัวหน้าอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พูดหรือทำอะไรได้ไม่มาก ประเด็นที่จะจับมือพลังประชารัฐหรือไปเป็นฝ่ายค้าน ความโน้มเอียงสำหรับผู้หิวโหยคงเลือกทางเดินแรกโดยเฉพาะพวกที่เป็นแกนนำนกหวีดกวักมือเรียกเผด็จการ ต้องไปอุ้มสมให้กับการสืบทอดอำนาจเพียงเพราะอคติที่มีต่อพรรคและตัวของ ทักษิณ ชินวัตร โดยมองข้ามหลักการและอุดมการณ์ของพรรค ชนิดที่เสียงทักท้วงของหัวหงอกหัวดำในพรรคไร้ความหมาย

ความจริงอีกประการที่เคยเตือนไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งเนิ่นนาน เมื่อสังคมมีทางเลือกระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ความพยายามของพรรคเก่าแก่ที่จะขุดทางเลือกที่ 3 คือไม่ซ้ายไม่ขวานั้นไม่มีวันประสบความสำเร็จ ผลเลือกตั้งที่ออกมาชี้วัดชัดเจน วิกฤติที่คนของพรรคนี้จะพากันก้าวผ่านหากยังยึดมั่นหลักการเหมือนในอดีตก็คงจะฟื้นคืนได้ในระยะเวลาไม่นาน แต่หากเลือกที่จะเดินตามก้นเผด็จการสืบทอดอำนาจ เชื่อได้เลยว่า การจะก้าวขึ้นไปเป็นพรรคใหญ่เหมือนเดิมนั้นยังห่างไกลและคงใช้เวลาอีกยาวนาน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรรคอนาคตใหม่เป็นสัญญาณเตือนที่จับต้องได้ อย่าคิดเพียงแค่ว่าหนนี้ไทยรักษาชาติถูกยุบคะแนนเสียงจึงเทไปให้ นั่นเป็นความจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะหากลองไปไล่ดูคะแนนกันรายเขต จะเห็นได้ว่าหลายพื้นที่ที่ชนะนั้นก็มีคู่แข่งสำคัญอย่างเพื่อไทยเป็นคู่แข่งอยู่ บางเขตที่แพ้ก็เป็นไปในลักษณะหายใจรดต้นคอ นั่นทำให้เห็นว่า การตื่นรู้เรื่องประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่นั้นไปไกลมากกว่าที่จะให้ใครมาจูงจมูก มีเพียงแค่บางพวกเท่านั้นที่เชื่อว่าประชาธิปไตยจะสมบูรณ์ด้วยปลายกระบอกปืน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกับงาช้างที่ไม่มีวันจะงอกจากปากหมาได้.

Back to top button