เล่นตามอารมณ์

* ดัชนีท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวอยู่ในโทนบวกทำให้ดัชนีวิ่งแรงไปทำจุดสูงสุดที่ 1,644.27 จุด ก่อนจะลดความร้อนแรงมาปิดที่ระดับ 1,638.65 จุด บวกไป 4.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.97 หมื่นล้านบาท แต่สำหรับ “โมนิก้า” มองว่าการเล่นหุ้นปัจจัยพื้นฐานยังเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะขณะนี้ฐานของดัชนียังไม่แน่นพอหุ้นจึงพร้อมจะกลับหัวลงมาได้อีกเสมอ สังเกตได้จากอาการขึ้นแบบกลวง ๆ ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ไม่หนาแน่นอย่างที่ควรจะเป็น


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

* ดัชนีท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวอยู่ในโทนบวกทำให้ดัชนีวิ่งแรงไปทำจุดสูงสุดที่ 1,644.27 จุด ก่อนจะลดความร้อนแรงมาปิดที่ระดับ 1,638.65 จุด บวกไป 4.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.97 หมื่นล้านบาท แต่สำหรับ “โมนิก้า” มองว่าการเล่นหุ้นปัจจัยพื้นฐานยังเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะขณะนี้ฐานของดัชนียังไม่แน่นพอหุ้นจึงพร้อมจะกลับหัวลงมาได้อีกเสมอ สังเกตได้จากอาการขึ้นแบบกลวง ๆ ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ไม่หนาแน่นอย่างที่ควรจะเป็น

* สาเหตุที่ทำให้เชื่อเช่นนั้นเป็นเพราะปัจจัยบวกที่คาดหวังว่าจะดีอย่าง MSCI หรือ Window dressing กลับไม่ได้ทำให้ภาพรวมของดัชนีดีขึ้นสักเท่าไหร่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงตั้งแต่ต้นสัปดาห์ว่าวันนี้ควรเอาอย่างไรดี ? แถมข้อมูลที่แสดงออกมาในเที่ยวนี้ มันหมายถึงทุกคนพร้อมกระโดดหนีตลอดเวลาดัชนีถึงแกว่งตัวขึ้นในมูลค่าซื้อขายแบบบางเบาเหมือนขนนก

* แต่โลกของการลงทุนไม่มีอะไรต้องคิดหนัก จนถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะอาการอย่างที่ว่านั้น มันเป็นอาการของพวกมือใหม่หัดเล่น ซึ่งมักจะตื่นเต้นกับตลาดหุ้นมากเกินไป ทำให้หลงลืมไปว่า เมื่อถึงจังหวะขายทำกำไรก็ต้องขายเอากำไรไว้ก่อน และพอถึงจังหวะต้องถอยเพื่อลดความเสี่ยง ก็ต้องตัดใจขายหุ้นให้ได้เช่นกันทั้งหมดทั้งมวลจึงขึ้นอยู่กับอารมณ์และจังหวะเท่านั้นนะจ๊ะจะบอกให้

* ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ STEC ที่ราคาหุ้นเริ่มย่อตัวลงจนมาปิดที่ระดับ 24.10 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลบไป 1.23% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 965.77 ล้านบาท งานนี้มองว่าเป็นการขายทำกำไรหลังจากราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาถึงจุดที่สมควรขายเท่านั้น ส่วนใครที่ยังไม่ได้ขายหุ้นออกมาเดี๊ยนว่าจะถือต่อไปก็ไม่เสียหาย เพราะทั้งพื้นฐานและสัญญานเทคนิคยังเป็นใจให้หุ้นวิ่งไปต่อเจ้าค่ะ

* ส่วน DELTA ราคากลับมาพักตัวอยู่แถว ๆ 71 บาทอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้พยายามจะไต่ขึ้นไปจนทะลุแนวต้านได้ แต่ด้วยปัจจัยบวกยังไม่เห็น และปัจจัยลบค่าเงินบาทแข็งยังรุมเร้าการเคลื่อนไหวของราคาถึงเรียกได้ว่ากลับตัวก็ไม่ได้ให้ไปต่อก็ไปไม่ถึง หุ้นจึงทำได้แค่ยืนอยู่เหนือแนวรับ 71 บาท ลบไป 0.25 บาท หรือลบไป 0.35% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 27.75 ล้านบาทเท่านั้นเจ้าค่ะ

* ในรายของ AP ราคาหุ้นเริ่มกลับตัวขึ้นมาเป็นขาขึ้นด้วยการยืนเหนือแนวต้าน 7.00 บาท ซึ่งถือเป็นด่านที่หนึ่ง จนมาปิดที่ระดับ 7.05 บาท ปรับตัวขึ้น 0.15 บาท หรือ 2.17% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 44.74 ล้านบาท เมื่อสัญญานเทคนิคกับเทรนด์กราฟเริ่มเป็นใจ ด้านปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนาทีนี้สิ่งที่เหลือคงเป็นเพียงแค่การรอให้หุ้นยืนเหนือค่าเฉลี่ย 75 วัน ถึงจะมีหวังได้เห็นหุ้นวิ่งยาวเจ้าค่ะ

* ส่วนในรายของ AH เริ่มมีการไล่ราคากันมาอีกรอบหลังจากก่อนหน้านี้ถูกขายจนเซถลามากองอยู่แถว ๆ 18.90 บาท ล่าสุดขึ้นมาปิดที่ระดับ 19.50 บาท ปรับตัวขึ้น 0.30 บาท หรือ 1.56% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 24.69 ล้านบาท “โมนิก้า” มองว่าเป็นเพียงแค่การขึ้นรอบสั้น ๆ หลังจากหุ้นรูดยาวจึงมีแรงช้อนเข้ามาบ้างเท่านั้น ส่วนในด้านของสตอรี่ยังไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเท่าที่ดูผลงานไตรมาส 1 ยังอ่อนแอ มันทำให้ทรงหุ้นนาทีนี้ยังไม่น่าสนใจน่ะซิ !

* ในรายของ XO เข้าสู่วัฏจักรขาลงเต็มตัว หลังราคาหุ้นหลุดแนวรับสำคัญ 10.40 บาท เป็นเหตุให้ราคาหุ้นทรงตัวที่ระดับ 10.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 33.88 ล้านบาท แถมมีสิทธิ์พักฐานจนราคาลงไปโลว์เดิม 9.50 บาท ถึงจะมีลุ้นว่าผลงานจะโตก็ยังไม่สามารถดึงราคาหุ้นขึ้นมาได้หากเทรนด์เทคนิคยังไม่กลับหัวมาเป็นขาขึ้น งานนี้ “โมนิก้า” เตือนก่อนว่าถ้าวงแตกแล้วก็ต้องแยกวงนะจ๊ะขอบอก

* ด้าน KTC มีการไล่ราคากันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ด้วยมูลค่าซื้อขายค่อนข้างหนาแน่นทำนิวไฮในรอบเกือบ 5 เดือน มาปิดที่ระดับ 35.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 621.26 ล้านบาท การที่ราคาหุ้นทะยานแรงรอบนี้ไม่ต้องแปลกใจเพราะด้วยพื้นฐานและปัจจัยบวกเข้ามารอโดยเฉพาะแผนธุรกิจตั้งเป้าโกยกำไรไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี หนุนด้วยนาโนไฟแนนซ์และพิโกไฟแนนซ์ ต่อกระแสด้วยหัวเรือใหญ่ “ระเฑียร ศรีมงคล” จะยังครองเก้าอี้ CEO ยิ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นธุรกิจเป็นไปอย่างที่ควรเป็นแน่นอน งานนี้เป้า 38 บาทมีแววได้เห็นแน่นอนจ้า

* ปิดท้ายที่ SELIC แม้ผลงานปี 2561 ดูไม่สวยนัก แต่การควบรวมกิจการในกลุ่ม PMC ที่แล้วเสร็จไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเป็นผลดีแบบทันตา เพราะผู้บริหารออกมาย้ำหัวหมุดว่าในไตรมาส 1 ผลงานจะไปได้สวยหลังรับรู้รายได้เข้ามาทันที “โมนิก้า” ถึงไม่ได้รู้สึกตกอกตกใจอะไรที่ราคาหุ้นจะทะยานขึ้นมาปิดที่ 3.18 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือขึ้นไป 6.71% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 14.56 ล้านบาท ทำนิวไฮในรอบ 9 เดือน สวนทางหุ้นตัวอื่น ๆ ที่ไตรมาสแรกยังคงอึมครึมแต่หุ้นจิ๋วผลงานดีเขาก็ไปต่อไปรอแล้วนะเจ้าคะ…อิอิ.

Back to top button