ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง LS ขาย IPO 132.43 ล้านหุ้น ระดมทุนตลาด mai ขยายธุรกิจหนุนผลงานโต
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง LS ขาย IPO 132.43 ล้านหุ้น ระดมทุนตลาด mai ขยายธุรกิจหนุนผลงานโต โดยมี บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง ของ LS เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย LS วางแผนเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 132,432,288 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 29.43% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้
โดยจะจัดสรรหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB ตามสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ใน TRUBB (Pre-emptive Right) จำนวนไม่ต่ำกว่า 10% หรือไม่น้อยกว่า 13,243,229 หุ้น แ ต่ไม่เกิน 20% หรือไม่เกิน 26,486,457 หุ้นของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้ และเสนอขายให้กับประชาชนสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 80% หรือไม่น้อยกว่า 105,945,831 หุ้น แต่ไม่เกินร้อยละ 90% หรือไม่เกิน 119,189,059 หุ้น ของจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนในครั้งนี้
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุน จะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากการลงทุนซื้อโรงงานในจังหวัดระยองเพื่อขยายกำลังการผลิตหมอน, ลงทุนในการก่อสร้างโชว์รูม และเงินทุนหมุนเวียนในกิจการสำหรับขยายธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ จุดเด่น LS คือการเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูง ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากลูกค้าที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ พร้อมด้วยทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากว่า 15 ปี อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพาราธรรมชาติ 100% มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแผนการขยายตลาด โดยเฉพาะในประเทศจีน เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ
นางปทุมพร ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เลเท็กซ์ ซิสเทมส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LS กล่าวว่าบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำของอุตสาหกรรมเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% ในระดับสากล และมุ่งหวังที่จะเป็นผู้ผลิตที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% ที่มีคุณภาพสูงและได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ผ่านการมุ่งเน้นการพัฒนาในด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านการบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการบริหารต้นทุน และด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ เป็นต้น
ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจผลิตที่นอน, หมอน, และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% แบบไม่ติดตราสินค้า (ธุรกิจ Non-Brand) โดยในปี 2561บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวประมาณ 96.86% ของรายได้จากการขายรวม และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายที่นอน, หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ 100% ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ (ธุรกิจ Brand) ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นในการรุกตลาดดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 3.14% ของรายได้จากการขายรวมในปี 2561 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีความต้องการแตกต่างกัน
โดยปัจจุบันบริษัทฯ ใช้ตราสินค้า “Latex Systems” และมีแผนใช้ตราสินค้า “Sleepertist” เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้สูง ตราสินค้า “TNF” เพื่อรองรับลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้ปานกลาง อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีแผนใช้ตราสินค้า “Nap & Night” เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับรายได้น้อย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทฯ สามารถครอบคลุมส่วนแบ่งการตลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ปัจจุบัน LS มีโรงงานผลิตสินค้า ประกอบด้วย โรงงาน กม.36 ตั้งอยู่ที่ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 36 จังหวัดฉะเชิงเทรา ผลิตสินค้าประเภทที่นอน หมอน และผลิตภัณฑ์อื่นที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ 100% เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนสำหรับเด็ก หมอนรองคอ เบาะพิงหลัง เบาะรองนั่ง และ หมอนข้าง เป็นต้น และโรงงานที่จังหวัดระยอง ผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งบริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการและรับโอนทรัพย์สินโรงงานดังกล่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีโรงงานลาดกระบัง ผลิตสินค้าประเภทหมอนยางพารา ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติไม่ต่อสัญญาเช่าและหยุดการผลิตแล้วในเดือนพฤศจิกายน 2561 เนื่องจากเป็นโรงงานดั้งเดิม โดยสายการผลิตหมอนโรงงานระยอง จะมาทดแทนสายการผลิตหมอนโรงงานลาดกระบัง ส่งผลให้ในปี 2561 LS มีกำลังการผลิตที่นอนรวมประมาณ 68,640 ชิ้นต่อปี และมีกำลังการผลิตหมอนจากน้ำยางธรรมชาติอยู่ที่ 2,071,000 ชิ้นต่อปี
ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2559 – 2561 จำนวน 429.40 ล้านบาท 753.47 ล้านบาท และ 831.73 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 24.65% สาเหตุหลักมาจากการขยายตัวของกลุ่มลูกค้าผู้ใช้สินค้าชาวจีน จากกระแสความนิยมในผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากน้ำยางพาราธรรมชาติ และความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องนอนยางพาราที่ผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานในประเทศไทย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับปี 2559 – 2561 เท่ากับ 62.50 ล้านบาท 114.07 ล้านบาท และ 113.75 ล้านบาท ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิในปี 2561 มีการปรับตัวลดลงจากปี 2560 คิดเป็นสัดส่วน 0.28% เป็นผลมาจากในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2561 เกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวจีนในไทยลดลง และการจำหน่ายสินค้าล้างสต๊อกในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตามจากนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล ในช่วงปลายปี 2561 ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน เริ่มฟื้นตัวและกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนดังกล่าว จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมเครื่องนอนยางพาราโดยรวม ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีโครงสร้างรายได้จำแนกตามแหล่งที่มาของรายได้ตามประเทศที่สั่งซื้อสินค้า ดังนี้ รายได้จากการขายภายในประเทศ 68.71% ประเทศจีน 24.66% ประเทศเกาหลีใต้ 5.89% และ ประเทศอื่นๆ 0.74%
“บริษัทฯ เดินหน้าตามแผนการระดมทุนเพื่อเสริมการเติบโตทางธุรกิจ โดยเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติเป็นที่นิยมในตลาดโลก ตามการขยายตัวของประชากร เศรษฐกิจ และกระแสการรักสุขภาพมากขึ้น จึงมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งในธุรกิจ Non Brand และธุรกิจ Brand รับโอกาสการเติบโต รวมถึงแผนการรุกตลาดใหม่ ๆ ทั่วโลกจากปัจจุบัน เราเป็นผู้ผลิตเครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติ 100% ที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ชั้นนำ มีความแข็งแกร่งในตลาดจีน และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ LS นับเป็นบริษัทเครื่องนอนที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติรายแรก ที่เตรียมเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai” นางปทุมพร กล่าว