COTTO พุ่งกระฉูด 13% แรงในรอบ 2 เดือน คาดเก็งระยะสั้นหลังเป็นขาลงมานาน-แผนธุรกิจเด่น

COTTO พุ่งกระฉูด 13% แรงในรอบ 2 เดือน คาดเก็งระยะสั้นหลังเป็นขาลงมานาน-แผนธุรกิจเด่น โดย ณ เวลา 11.02 น. อยู่ที่ระดับ 2.26 บาท บวก 0.26 บาท หรือ 13%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 16.13 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ณ เวลา 11.02 น. อยู่ที่ระดับ 2.26 บาท บวก 0.26 บาท หรือ 13%  ด้วยมูลค่าซื้อขาย 16.13 ล้านบาท ราคาหุ้นวิ่งแรงในรอบ 2 เดือน โดยนับตั้งแต่ห้นขึ้นไปทดสอบระดับ 2.26 บาท เมื่อวันที่ 2 ก.พ.62 คาดเก็งกำไรทางเทคนิคหลังเป็นขาลงมานานและรับอานิสงส์ดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ ทำให้มีงานก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น

อนึ่งก่อนหน้านี้ นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 5-10% จากการควบรวมธุรกิจ ทำให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า ประกอบกับบริษัทเน้นการสร้างแบรนด์หลักให้มีความน่าเชื่อถือเพื่อให้ลูกค้าไว้ใจอย่างต่อเนื่อง และสร้างการรับรู้ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักขยายทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน และบริษัทมีการขยายช่องทางการจำหน่ายอย่างครอบคลุม โดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์เข้าไปในงานโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งได้รับอานิสงส์ดีจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ ทำให้มีงานก่อสร้างโครงการใหม่ ๆ มากขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทฯ เน้นการทำตลาดในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV โดยตั้งเป้าการส่งออกเติบโตมากกว่าในประเทศ จากปีก่อนมีสัดส่วนรายได้การส่งออกที่ 22%

นายนำพล กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนปี 62 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท โดยจะนำเงินราว 15-20% ของงบลงทุนใช้ขยายสาขาร้านคลังเซรามิค และใช้ในการปรับปรุงการผลิตให้สามารถลดต้นทุนได้ ซึ่งคาดว่าจะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินสดภายในบริษัทและจากการกู้สถาบันการเงินในสัดส่วน 50:50

สำหรับกรณีที่บริษัทมีหนี้สินจำนวน 865 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถทำให้ลดลงได้ หากสามารถดำเนินกิจการให้มีผลประกอบการตามแผน รวมถึงมีการใช้เงินลงทุนตามแผน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ระดับ 0.33 เท่า ส่วนการจ่ายเงินปันผลงวดปี 62 เบื้องต้นขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทและการพิจารณาของคณะกรรมการบริษัท

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าภาพรวมอุตสาหกรรมเซรามิกปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมอยู่ราว 3 หมื่นล้านบาท โดยยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะหลังการประกาศผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่อย่างไรก็ดี เชื่อว่าทุกรัฐบาลมีความสนใจในด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าปัจจุบันมีกำลังการผลิตส่วนเกินทำให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาด (over supply) ซึ่งปัจจุบันบริษัทใช้กำลังการผลิตที่ระดับ 70-80%

Back to top button