พาราสาวะถี
ไม่ต้องสงสัยว่าโดนคดีเพราะอะไร ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกอาการงงหลังถูกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สน.ปทุมวัน ด้วยความผิดมาตรา 116 อันเป็นกฎหมายที่เผด็จการใช้เล่นงานฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี งานนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนจะปฏิเสธว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง มีแต่พวกก้มหน้าก้มตาเชียร์ฝ่ายยึดอำนาจเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนคนที่ไม่ได้กินหญ้าต่างก็รู้ว่าเพราะเหตุใด
อรชุน
ไม่ต้องสงสัยว่าโดนคดีเพราะอะไร ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกอาการงงหลังถูกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สน.ปทุมวัน ด้วยความผิดมาตรา 116 อันเป็นกฎหมายที่เผด็จการใช้เล่นงานฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอดระยะเวลา 5 ปี งานนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนจะปฏิเสธว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง มีแต่พวกก้มหน้าก้มตาเชียร์ฝ่ายยึดอำนาจเท่านั้นที่เชื่อ ส่วนคนที่ไม่ได้กินหญ้าต่างก็รู้ว่าเพราะเหตุใด
เห็นภาพมากที่สุดก็เป็นเสียงให้กำลังใจธนาธรที่ดังมาจาก “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา คนที่ถูกเล่นงานด้วยมาตรานี้มาตลอดห้วงเวลาที่เผด็จการครองอำนาจ โดยระบุว่า คสช.รับน้องธนาธรด้วยข้อหาม.116 ที่ทั้งนักการเมืองรุ่นพี่และนักกิจกรรมฝ่ายตรงข้ามเผด็จการได้รับกันมาถ้วนหน้าตลอดเวลาห้าปี หารู้ไม่ว่า “การตั้งข้อหาเลื่อนลอยแบบนี้สู้คดีง่ายที่สุด” และมีแต่จะทำให้คนที่ถูกตั้งข้อหามีพลังเพิ่มขึ้น แต่เห็นสติปัญญาหัวแถวเมื่อวานแล้วก็ไม่แปลกใจที่หางแถวจะไม่เคยเรียนรู้ ยินดีด้วยกับการอัปเลเวลเพิ่มแต้มให้อนาคตใหม่
เป็นธรรมดาของผู้ที่มีหน้าที่เชลียร์ ต้องทำทุกทางให้นายพอใจ ปรากฏการณ์คะแนนไหลมาเทมา น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ชะตากรรมของธนาธรแล้วว่า นับตั้งแต่ก้าวขาเข้าสู่ถนนสายการเมือง ที่ตลอดทางถูกอำนาจเผด็จการลองของมาโดยตลอด ยิ่งเมื่อได้เสียงถล่มทลายจากการเลือกตั้ง ยิ่งตกเป็นเป้าใหญ่ ไม่ใช่แค่เผด็จการและลิ่วล้อเท่านั้น พวกขี้อิจฉาทั้งหลายก็อยู่ไม่สุขเช่นกัน
สิ่งที่สะท้อนผ่านคะแนนความไว้วางใจจากประชาชนที่มอบให้พรรคอนาคตใหม่ของธนาธรนั้น เหมือนเป็นการตบปากของผู้รากมากดีบางคน ที่พยายามจะยัดเยียดข้อกล่าวหาสารพัดต่ออดีตนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่หันมาทุ่มเทเอาจริงเอาจังบนถนนสายการเมือง ความจริงแท้แน่นอนของถนนสายประชาธิปไตยบนโลกใบนี้ ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าเสียงของประชาชน ต่อให้อำนาจ กองทัพและสารพัดอาวุธก็ไม่อาจล้มปลายปากกาหรือพลังอันบริสุทธิ์ของประชาชนได้
ยิ่งหลังการเลือกตั้งแล้วเกิดภาพของความพยายามที่จะโกงกันด้วยสารพัดวิธี ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของการทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ต่อในอำนาจให้นานที่สุด วันนี้ ประเด็นทุ่มเถียงว่าด้วยสูตรคำนวณส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของกกต. คำถามง่าย ๆ แบบเบสิกก็คือ สูตรที่ว่ากันนั้นมันควรจะจบก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใช่หรือไม่ ไม่ใช่เพิ่งมาคิดกันเอาตอนนี้
สารพัดเหตุผลที่คนของกกต.กล่าวอ้างไม่ว่าจะฟังเจตนารมณ์ของอดีตกรธ.ในฐานะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเสียงของสนช.ในฐานะที่ปรับแก้กฎหมายสูงสุดและกฎหมายลูก ไม่ใช่สาระสำคัญ สิ่งที่คนสงสัยและต้องมีคำตอบในทันทีทันใดก็คือ เมื่อสูตรถูกกำหนดไว้ในกฎหมายแล้ว กกต.ก็ต้องวางหลักเกณฑ์ทุกอย่างไว้ทั้งหมด เมื่อได้คะแนนจากการเลือกตั้งแล้ว ก็สามารถคำนวณกันได้ทันทีทันใด
เมื่อแสดงออกถึงความไม่พร้อมเหมือนคนที่เพิ่งจะมาคิดว่าต้องใช้สูตรคำนวณแบบไหน มันจึงกลายเป็นใบเสร็จที่การันตีว่านี่เป็นความพยายามในการที่จะเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองใด เพื่อให้ใครได้สืบทอดอำนาจตามความประสงค์ใช่หรือไม่ ยิ่งได้ฟัง ประพันธ์ นัยโกวิท อดีตกรธ.และอดีตกกต.ชี้แจง ยิ่งทำให้เห็นภาพอะไรเด่นชัดเข้าไปอีก
อดีตกกต.บอกว่า สูตรการคำนวณนั้นมีแค่สูตรเดียวระบุไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 128 ชัด อยู่ที่สภาใครก็ไปขอดูได้ แล้วทำไมกกต.ยังออกลูกยึกยัก ดึงจังหวะ หาเหตุอ้างโน่นอ้างนี่ เหมือนพวกที่ไม่พร้อมจะทำอะไรซักอย่าง ต้องลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญจากคำบอกกล่าวของประพันธ์ก็คือ สูตรคำนวณนี้มีการเสนอมาตั้งแต่ในชั้นของกกต.ชุดที่แล้ว
นั่นหมายความว่าอะไร หมายความว่าทั้งเลขาธิการและรองเลขาธิการกกต. ณ ปัจจุบัน ก็คือผู้ที่มีส่วนรู้เห็นกับสูตรดังว่านี้ทั้งสิ้น แล้วทำไมถึงมาเล่นเอาล่อเอาเถิดจนตกเป็นขี้ปากของสังคมเช่นนี้ นี่ก็เป็นตัวชี้วัดอีกอย่างหนึ่งว่า การปฏิบัติหน้าที่หรือการวางตัวที่ไม่ปกติของผู้มีหน้าที่ในการบริหารจัดการเลือกตั้งโดยตรง ก็เท่ากับเป็นการสร้างความไม่โปร่งใสไปในตัว
ที่น่าขันมากไปกว่านั้นคงเป็นคำพูดของ อิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.ที่บอกกล่าวแก่คณะอนุกรรมการวินิจฉัยปัญหาและข้อโต้แย้งของกกต.ซึ่งมีหน้าที่จะต้องสืบสวน สอบสวนและวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนเลือกตั้งไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กระตุ้นให้ทุกคนทำงานรวดเร็ว ทำเสร็จตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด เพราะ “ความล่าช้าคือความอยุติธรรม” แต่สิ่งที่กกต.ทั้งคณะและเจ้าหน้าที่กำลังทำอยู่นั้นมันเข้าทางทั้งหมด
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเป็นครั้งแรกที่กกต.จากสายศาลอย่าง ปกรณ์ มหรรณพ ออกมาแก้ต่างเรื่องบัตรเลือกตั้งจากนิวซีแลนด์ โดยอ้างแบบศรีธนญชัย กกต.ไม่สามารถชี้ให้เป็นบัตรเสียหรือบัตรดีได้ เพราะจะเกิดปัญหาทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ พร้อมยกตัวอย่างเรื่องการชิงโชคที่เมื่อจับรางวัลได้ผู้โชคดีไปแล้ว จะมาขอให้จับรางวัลกันใหม่ไม่ได้ เห็นภาพแต่ไม่เห็นความเป็นธรรมกับผู้ที่ใช้สิทธิลงคะแนน
เมื่อย้อนกลับไปดูมาตรา 114 ของกฎหมายเลือกตั้งส.ส.แล้ว ไม่มีถ้อยคำใดเลยที่บอกให้กกต.วินิจเป็นอย่างอื่น เพราะในมาตราดังกล่าวระบุว่า กรณีมีการส่งบัตรเลือกตั้งมาถึงสถานที่นับคะแนนของเขตเลือกตั้งใดหลังจากเริ่มนับคะแนนแล้วหรือหีบห่อที่ส่งบัตรเลือกตั้งมีลักษณะถูกเปิดมาก่อน โดยมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าเกิดจากการกระทําที่ไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือมีบัตรเลือกตั้งจากที่ใดสูญหาย ให้คณะกรรมการมีอํานาจสั่งมิให้นับคะแนนนั้นโดยให้ถือว่าเป็นบัตรเสีย
การตีความลักษณะนี้ น่าสนใจว่าควรจะมีช่องทางให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบนำเรื่องไปยื่นร้องต่อองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยเพื่อชี้ให้ชัดว่า สิ่งที่กกต.ได้ดำเนินการไปนั้นถูกต้องหรือไม่ วันนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้เล่นอันหมายถึงนักการเมืองและพรรคการเมืองต้องเคารพกติกาและไปสู้กันในสภาเหมือนอย่างที่ผบ.ทบ.ว่า แต่เป็นเรื่องของคนคุมกติกาต่างหาก ที่จะต้องใช้กติกาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ที่สำคัญยังมีผู้เล่นบางพวกที่อ้างกติกาแบบผิดเพี้ยนจนเป็นกติกูเพื่ออยู่ยาว หากริจะอ้างว่าเป็นกลางเป็นทหารอาชีพก็อย่าได้มีพฤติกรรมพูดเรื่องจริงแค่ครึ่งเดียว