พาราสาวะถี
ความกระสันในอำนาจมันทำให้คนลืมได้ทุกอย่างจริง ๆ โดยเฉพาะคำว่า “มารยาท” ลำพังการอ้างป๊อปปูล่าร์โหวตที่ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ล่าสุด มีความเห็นในเชิงวิจารณ์ข้ามพรรคต่อกรณีข้อเสนอแนะของ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม คนรุ่นใหม่ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่แนะให้พรรคของตัวเองเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ”
อรชุน
ความกระสันในอำนาจมันทำให้คนลืมได้ทุกอย่างจริง ๆ โดยเฉพาะคำว่า “มารยาท” ลำพังการอ้างป๊อปปูล่าร์โหวตที่ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ล่าสุด มีความเห็นในเชิงวิจารณ์ข้ามพรรคต่อกรณีข้อเสนอแนะของ พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม คนรุ่นใหม่ในพรรคประชาธิปัตย์ ที่แนะให้พรรคของตัวเองเป็น “ฝ่ายค้านอิสระ”
เสียงกระแนะกระแหนข้ามพรรคดังมาจากทั้งฝั่งของแกนนำพลังประชารัฐและรวมพลังประชาชาติไทย ออกอาการไร้มารยาทกันอย่างน่าเกลียด ไม่บอกก็รู้ว่า คนพวกนี้ต่างลุ้นให้พรรคเก่าแก่แสดงท่าทีเปลี่ยนจุดยืนจากที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศไม่สังฆกรรมกับเผด็จการ มาเป็นจับมือกันแน่นเพื่ออุ้มผู้นำเผด็จการให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกกระทอก
การแสดงออกของคนต่างพรรคด้วยท่วงทำนองเผ็ดร้อนนั้น “เสี่ยจ้อน” อลงกรณ์ พลบุตร ถึงกับต้องออกมาปกป้องไอติม โดยชี้ไปยังคนวิจารณ์ว่า พึงรักษามารยาท หากไม่เห็นด้วยก็วิจารณ์ด้วยตรรกะเหตุผลที่เห็นต่างอย่างสุภาพ ให้เกียรติกัน และหลีกเลี่ยงการดูถูกเสียดสีเหยียดหยามน่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมกว่า ดีนะถ้าเป็นกระบอกเสียงของกองทัพบกเขาจะแนะนำให้อ่านหนังสือคุณสมบัติผู้ดีพ่วงด้วยอีกต่างหาก
พอจะเข้าใจได้ พวกที่อยู่ในภาวะสีข้างถลอก รับงานมาแล้วปิดจ๊อบไม่ได้ ย่อมอยู่ในภาวะกระวนกระวายจนเกินงาม ความจริงหากอ้างเรื่องป๊อปปูล่าร์โหวตแล้วทุกอย่างสะเด็ดน้ำคงไม่ร้อนรนกันจนออกนอกหน้าอย่างที่เห็น มิหนำซ้ำ มือไม้ที่เผด็จการคิดว่าจะใช้สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง กำลังติดหล่มกับดักความเชื่อมั่นที่ถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่มีองค์กรอิสระเข้ามาจัดการการเลือกตั้งเลยก็ว่าได้
ศรัทธาและความเชื่อถือที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินนั้น เห็นได้จากการร่วมลงชื่อถอดถอนกกต.ของบรรดานิสิต นักศึกษา ที่ดำเนินการกันหลายทิศทาง ปรากฏการณ์ทางสังคมที่ว่าด้วยปัญญาชนหากรวมตัวกันติดและเห็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อไหร่ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับคนที่กุมอำนาจ ดังนั้น เราจึงได้เห็นปฏิกิริยาจากผู้บริหารสถาบันหลายแห่งที่ออกมาสกัดกั้นไม่ให้ลูกศิษย์ของตัวเองดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ดำเนินการนั้นถือเป็นสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐาน คงเป็นเพราะผู้บริหารเหล่านั้นเคยชินกับเผด็จการมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จึงเกิดความกลัวแปลงสภาพเป็นคำสั่งที่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของนิสิต นักศึกษาเสียเอง โดยลืมไปว่ากระบวนการตั้งต้นที่ทำกันอยู่นั้น ปลายทางยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ทำไมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาถึงได้ตื่นตูมกันขนาดนั้น
นั่นคงเป็นเพราะนอกจากจะหวาดกลัวอำนาจเผด็จการแล้ว คงเป็นจิตใต้สำนึกของตัวเองที่ยกมือหนุนขบวนการโค่นล้มรัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น เป็นส่วนหนึ่งของการโบกมือดักกวักมือเรียกเผด็จการให้ออกมา จึงออกคำสั่งละเมิดสิทธิ เสรีภาพอย่างไม่ยี่หระต่อกระแสวิจารณ์ น่ายินดีที่เวลานี้สถาบันอุดมศึกษาบางแห่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่บ่มเพาะสำนึกด้านประชาธิปไตย ได้คืนความศักดิ์สิทธิ์แห่งความเป็นสถาบันแบบนั้นกลับไปให้องค์กร
ส่วนผู้นำเผด็จการที่รอวันสืบทอดอำนาจ พอออกมาพูดถึงเรื่องการถอดถอนกกต.ก็บอกได้ไม่เต็มปากเพราะตัวเองถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง ยิ่งบอกว่าการดำเนินการของกลุ่มเคลื่อนไหว กระบวนการอยู่ตรงไหน การที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการทำอะไรต้องเข้าใจระบบระเบียบราชการ ขอให้เข้าใจกระบวนการยุติธรรมบ้างว่าเป็นอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร มีขั้นตอนตรงไหน จะเสนออะไรก็เสนอไป แต่ขั้นตอนการพิจารณาเป็นเรื่องของศาลไม่ใช่หรือ
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ผู้ริเริ่มและดำเนินการย่อมรู้ดี แต่คนเหล่านั้นถือสิทธิและเสรีภาพในสิ่งที่จะดำเนินการได้ ขณะที่ขั้นตอนและกระบวนการถือเป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจโดยตรงจะเป็นฝ่ายวินิจฉัย ใครก็ชี้นำไม่ได้ หรือผู้นำเผด็จการคิดว่าต้องเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่ ส่วนที่บอกว่าอย่าให้มันวุ่นวายมากกว่านี้ เมื่อมีเลือกตั้งและกำลังจะคืนความเป็นประชาธิปไตย ถามว่าวุ่นวายในมุมของเผด็จการกับคนที่เคลื่อนไหวตามกลไกของประชาธิปไตยนั้นมันต่างกันหรือไม่
หากเป็นความวุ่นวายที่สร้างความกังวลให้กับเก้าอี้ผู้นำเผด็จการ และเป็นความสั่นคลอนต่อขบวนการสืบทอดอำนาจ นั่นย่อมไม่ใช่ความวุ่นวาย หากแต่เป็นเรื่องของกระบวนการที่จะทำให้การสืบทอดอำนาจตามแผนที่วางไว้มีปัญหาต่างหาก ดังนั้น จึงควรปล่อยให้ทุกอย่างได้เดินไปตามขั้นตอนปกติดีกว่า แล้วรอดูกันว่า เมื่อได้เดินกันไปสุดทางแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
ไม่ต้องกังวลเรื่องความเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะสิ่งที่เป็นอยู่เวลานี้ถ้าไม่ได้รับการพิสูจน์หรือฝ่ายที่ถูกกล่าวหายังทำตัวให้สังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศไว้วางใจไม่ได้ มันยิ่งจะเละเทะกันไปใหญ่ นี่คือบทพิสูจน์คำว่าโปร่งใส บริสุทธิ์และยุติธรรม หากทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปบอกใครต่อใครว่า ประเทศไทยมีเลือกตั้งแล้วทุกอย่างต้องเดินหน้าได้ ในเมื่อไม่เป็นธรรมเสียแล้วจะเดินต่อไปเพื่ออะไร
ปัญหาสูตรคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อที่ยังคาราคาซัง จากเดิมที่คะแนนไม่ทิ้งน้ำลดระดับต่ำลงไปถึงหลัก 3 หมื่นก็มีสิทธิ์ได้ส.ส. 1 คน แต่ล่าสุด มีคณิตศาสตร์ใหม่เกิดขึ้นอีก พรรคไหนที่ไม่ได้ส.ส.เขตจะไม่มีสิทธิ์ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วย เล่นเอาสะดุ้งกันเป็นแถว เรื่องนี้ อุดม รัฐอมฤต อดีตกรธ.ยืนยัน ถ้าคิดแบบนี้ก็จะมีพรรคอยู่แค่จำนวนหนึ่งเท่านั้นแต่ก็คิดได้ หรือจะคิดแบบนับคะแนนจากทุกพรรค มันมีวิธีคิดอยู่แค่สองวิธี แต่กกต.ต้องเลือกแค่วิธีเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องให้อดีตกรธ.อธิบายโดยตรรกะของคนทั่วไปก็เข้าใจตรงกันว่า ควรที่จะต้องนับทุกคะแนนจากทุกพรรคมันจึงจะตรงตามเจตนารมณ์ของคนเขียนกฎหมาย อุดมเองก็ยืนยันว่า กรธ.คิดตรงกันหมด เพราะเป็นเรื่องที่เคยถกเถียงกันมาแล้ว ดังนั้น ต้องใช้คะแนนจากทุกพรรคมาเฉลี่ยแก้ปัญหาโอเวอร์แฮงก์ ไม่เฉพาะพรรคที่ได้ส.ส.เขตเท่านั้น ซึ่งกรธ.มีเอกสารเจตนารมณ์ยืนยันชัดเจน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับกกต.แล้วว่าจะเลือกแบบไหน อย่ามัวแต่ลีลาเพราะนั่นคือต้นตอทำให้เกิดความวุ่นวาย