หมดหวัง?โมนิก้าและทีมงาน

*วันนี้ขอมาในแบบ “คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย” เพื่อทำให้แฟนคลับรู้ว่า ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน อะไรหลายอย่างไม่เป็นใจ หุ้นบลูชิพมักได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงเป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับพิจารณาถึงประเด็นตรงนี้มากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดว่า น่าจะมีปัญหาชวนปวดหัวเกิดขึ้นอีกเป็นระลอกเจ้าค่ะ


*วันนี้ขอมาในแบบ “คำเดียวสั้นๆ แต่มีความหมาย” เพื่อทำให้แฟนคลับรู้ว่า ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน อะไรหลายอย่างไม่เป็นใจ หุ้นบลูชิพมักได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงเป็นประจำ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับพิจารณาถึงประเด็นตรงนี้มากเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดว่า น่าจะมีปัญหาชวนปวดหัวเกิดขึ้นอีกเป็นระลอกเจ้าค่ะ

*งานนี้ไม่ต้องไปเสียเวลาประเมินสถานการณ์ต่างๆ ให้เสียเวลาเคาะหุ้น เพราะปัญหาหนี้กรีซกลายเป็นตัวบั่นทอนความมั่นใจในการลงทุนเต็มๆ “โมนิก้า” ถึงพุ่งเป้าไปที่หุ้นกลุ่มแบงก์ในทันที ผนวกกับกองทุนทั่วโลกกระหน่ำเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภท เพื่อต้องการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตของตัวเอง วันนี้ถึงไม่สามารถคาดหวังอะไรได้อีกเลยไงล่ะค่ะ

*ขนาดวานนี้ทำท่าประคองตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงเปิดการซื้อขาย พอตกบ่ายกลับโดนถล่มแบบไม่ให้เหลือซาก “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจมากพอสมควรว่า แนวรับสำคัญบริเวณ 1,480 จุดจะเอาอยู่ไหม? หากต้านแรงเทขายไม่ไหว แนวรับสำคัญบริเวณ 1,50 จุดใช่จุดรับของไหม? เหล่านี่เป็นข้อมูลที่อยากให้แฟนคลับลองกลับไปคิดเป็นการบ้านเจ้าค่ะ

*เนื่องจากตัวแปรที่ทำให้ดัชนีอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,491.62จุด ลบไป 12.93 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.72 หมื่นล้านบาท ล้วนเกิดจากฝีมือฝรั่งหัวทองสาดออกมา 4.30 พันล้านบาท บวกกับกองทุนขี้ตืดโยนตามออกมาอีก 2 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงกันแบบแยกไม่ออก จึงต้องเข้าใจเหตุการณ์ในขั้นถัดไปว่าอะไรจะเกิดขึ้นในขั้นถัดไป?นะจ๊ะ

*ถ้าเข้าใจเรื่องดังกล่าวจะรู้ได้ทันทีว่า KBANKรูดลงมาปิดที่ 179 บาท ลบไป 10 บาท หรือลงไป 5.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7 พันล้านบาท ล้วนเป็นผลพวงจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับหนี้เสียพุ่ง บวกกับฝรั่งตาน้ำข้าวถือหุ้นไว้เป็นจำนวนมาก สภาพของหุ้นถึงดูไม่จืด ดีสุดของวันนี้คือ “รีบาวด์” เช่นเดียวกับแบงก์ตราใบโพธิ์ SCB โดนสังคมรุมด่าแบบสาดเสียเทเสียมาหยกๆ ล่าสุดโดนปรับลดน้ำหนักการลงทุน เดี๊ยนถือเป็นเหตุการณ์ที่ผู้บริหารต้องรีบเข้าวัดทำบุญ เพราะดวงตกเหลือเกิน ล่าสุดหุ้นปิดที่ 150 บาท ลบไป 5.50 บาท หรือลงไป 3.50% บอกได้แค่ว่ามองไม่เห็นอนาคต..อิอิ

*ส่วนที่มืดมนสุดๆ ในรอบนี้กลายเป็นคู่หูคู่ฮา KTB และTMBสภาพของหุ้นถูกหลอกหลอนด้วยปัญหาที่เคยซุกไว้ใต้พรม เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ จึงมีขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ในอดีตมาเม้าท์มอยกันไม่เลิก สภาพของหุ้นถึงดูไม่จืดทั้งคู่ โดยรายแรกยืนปิดที่ 16.70 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2.30% ส่วนรายหลังปิดที่ 2.26บาท ลบไป 0.08 บาท หรือลงไป 3.40% อาการน่าเป็นห่วงทั้งคู่เจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของ PRINหากมองเรื่องนี้อย่างผิวเผินจะเห็นว่าทุกอย่าง win-winทั้งคู่! แต่เผอิญเหลือบไปเห็นพวกแมงลือนินทาเรื่องการโยกเงินกระเป๋าซ้ายเข้ากระเป๋าขวา คนที่ได้ประโยชน์เนื้อๆ เน้นๆ กลายเป็นก๊วน KPN“โมนิก้า” ถึงเกิดอาการสะดุดกึกขึ้นมาในทันที และนักเล่นหลายรายก็คงเห็นเหมือนกัน แรงซื้อถึงแปรเปลี่ยนเป็นแรงเทขาย หุ้นถึงได้ดิ่งลงมาปิดที่ 2.42บาท ลบไป 0.12บาท หรือลงไป 4.70% ในเมื่อธุรกิจที่นำสวมยังไม่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ ดีลก็เลยไม่เวิร์คไงล่ะค่ะ

*เมื่อดีลใหญ่ๆ ไม่เวิร์ค เหล่านักเล่นเลยหันไปหาหุ้นเล็กพริกขี้หนูกันเป็นแถว และหุ้นยอดนิยมของตลาด maiภายใต้การกุมบังเหียนของ “น้องประพันธ์” ก็มีอยู่ด้วยกันหลายตัว แต่ตัวที่เด่นสุดในรอบนี้กลายเป็น TVTเพราะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาเป้าหมาย 3 บาทค่อนข้างเยอะ ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 2.88บาท บวกไป 0.20บาท หรือขึ้นไป 7.50% ด้วยมูลค่า 155 ล้านบาท

*อีกหนึ่งตัวที่เฝ้าติดตามเป็นระยะ “โมนิก้า” ขอเล็งเป้าไปที่ FSMARTหุ้นโกรทสต๊อกของแท้แน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ แถมงานนี้รับประกันคุณภาพด้วยจำนวนตู้สาขาที่เพิ่มขึ้นราวกับดอกเห็ด ตัวเลขกำไรก็น่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ล่าสุดหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 13.60บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่า 100 ล้านบาท มันเป็นการส่งสัญญาณให้ขาลุยได้รู้เนื้อรู้ตัวแล้วนะคะ

*เช่นเดียวกับในรายของ HPTยังคงความร้อนแรงต่อไปอีกหนึ่งวัน ทั้งที่ในระหว่างทางทำท่าหมดแรงข้าวต้ม “โมนิก้า” ถือเป็นเกมปกติในยามที่ตลาดหุ้นขาดทางเลือกใหม่ๆ หุ้นอะไรที่สดๆ ใหม่ๆ ย่อมเป็นที่สนใจจากทุกฝ่าย ซึ่งเห็นได้จากอาการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 3.18บาท บวกไป 0.34 บาท หรือขึ้นไป 12% ด้วยมูลค่า 1.70 พันล้านบาท เคาะกันไปทั้งสิ้น  560 ล้านหุ้น คิดเป็นการเล่นเกือบ 5 รอบ (IPO แค่ 120 ล้านหุ้น)..ใช่คำตอบหรือไม่ ต้องหัดคิดกันเอาเอง!

*ป.ล.การลงทุนในช่วงนี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ..ท้อแท้ได้ แต่อย่าถอย เพราะเมื่อใดที่ใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน ผู้เล่นจะหลุดจากกรอบการลงทุนในทันทีนะจะบอกให้

Back to top button