NCH รับมีผู้สนใจซื้อกิจการ แต่ไม่มีนโยบายขาย-เดินหน้าหาพันธมิตร
NCH รับมีผู้สนใจซื้อกิจการ แต่ไม่มีนโยบายขาย-เดินหน้าหาพันธมิตร
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี เฮาส์ซิ่ง (NCH) กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวานนี้ราคาหุ้น NCH ราคาปรับตัวขึ้นแรง มองว่ามาจากการที่นักลงทุนอาจจะยังคงเก็งเรื่องการที่มีผู้ประกอบการรายอื่นให้ความสนใจจะเข้ามาซื้อกิจการของบริษัท แต่บริษัทยังไม่มีแผนการขายกิจการ แม้ว่าจะมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายเข้ามาเจรจากับบริษัท นอกจากนี้นักลงทุนบางส่วนอาจเห็นว่าหุ้น NCH ราคาถูกและต่ำกว่าราคาพาร์ที่ 2.03 บาท/หุ้น ทำให้มีการเข้ามาซื้อมากในเมื่อวานนี้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะยังไม่มีแผนการขายกิจการ แต่บริษัทยังคงเดินหน้าหาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partner) อยู่ตลอด ซึ่งอาจจะเป็นการเข้ามาถือหุ้นในบริษัทหรือการตั้งบริษัทร่วมทุน โดยปัจจุบันบริษัทได้เจรจากับพันธมิตรอยู่ 3-4 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรในประเทศ แต่ยังไม่ทราบว่าจะมีความชัดเจนเมื่อใด
อนึ่ง ราคาหุ้น NCH พุ่งขึ้นเมื่อวานนี้ราว 9% ก่อนจะอ่อนตัวลงเล็กน้อยในวันนี้มาปิดตลาดที่ 1.92 บาท ลดลง 0.01 บาท หรือ 0.52%
นายสมเชาว์ กล่าวว่า ยอดขายในช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 1.1-1.2 พันล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่ 3.4 พันล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ที่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมดในกรุงเทพฯและปริมณฑลจำนวน 2-4 โครงการ มูลค่ารวม 3 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ยอดขายทั้งปีนี้ยังคงทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ขณะที่ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่ 2.2 พันล้านบาท จาก 1.8 พันล้านบาทในปีก่อน โดยรายได้ในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะออกมาดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถทยอยโอนได้เลย ประกอบกับบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 60% และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีหน้า
ทั้งนี้ Backlog ที่จะเริ่มทยอยโอนในไตรมาส 3/58 คือ โครงการคอนโดมิเนียมเนทูเรซ่า พัทยาเหนือ-นาเกลือ ในเฟสแรก 2 อาคาร มูลค่า 600 ล้านบาท จำนวน 200 ยูนิต ซึ่งจะทยอยโอนได้ในไตรมาส 3/58 ราว 300-400 ล้านบาท
นายสมเชาว์ กล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะทรงตัวจากปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงชะลอตัวอยู่ และในครึ่งปีที่ผ่านมามีปัจจัยลบค่อนข้างมาก ทำให้ภาวะตลาดค่อนข้างซบเซา หลังความเชื่อมั่นและกำลังซื่อยังไม่ฟื้นตัวกลับมา ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 2 ครั้งก็ยังไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศ นอกจากนี้ปัจจุบันประเทศยังประสบปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่น่ากังวล เพราะจะทำให้รายได้ของเกษตรกรได้รับผลกระทบหนักมากขึ้น นอกเหนือจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังตกต่ำอยู่ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยอาจจะไม่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีเงินไหลเข้ามาในระบบ
อีกทั้งการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่เข้มงวดมากขึ้นก็ส่งผลต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การส่งมอบโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจากสิ้นปีก่อนมาอยู่ที่ 30%