เปิดพื้นที่เสรีภาพใต้ คสช. ทายท้าวิชามาร
กิจกรรม “โพสต์อิสรภาพ” ที่ทางเชื่อมรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติเมื่อค่ำวันศุกร์ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว 14 นักศึกษา เป็นกิจกรรม “การเมือง” ที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดนับแต่เกิดรัฐประหาร โดยไม่ถูกขัดขวางจากทหารตำรวจ
กิจกรรม “โพสต์อิสรภาพ” ที่ทางเชื่อมรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติเมื่อค่ำวันศุกร์ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว 14 นักศึกษา เป็นกิจกรรม “การเมือง” ที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดนับแต่เกิดรัฐประหาร โดยไม่ถูกขัดขวางจากทหารตำรวจ
ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯ กล่าวว่า อยากให้นักศึกษาและรัฐบาลพูดคุยเพื่อเข้าใจกัน ไม่อยากให้มีการกระทบกระทั่ง เวลานี้ คสช.ยืดหยุ่นและเปิดกว้างมากขึ้น รัฐบาลมีนโยบายเปิดพื้นที่แสดงออกมากขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พูดเช่นกันว่านักศึกษาเป็นพลังบริสุทธิ์ หากพูดกันรู้เรื่องก็จะหาทางดูแล แม้ต่อมาบอกว่า (การปล่อยตัว) เป็นเรื่องของฝ่ายตุลาการ (ศาลทหาร)
ชัดเจนว่า คสช.แพ้กระแส “ปล่อยเด็ก” จากที่ก่อนจับพูดเสียงเดียวกัน “มีเบื้องหลัง” ตอนนี้ยอมรับ “พลังบริสุทธิ์” แต่ยังอ้าง “กฎหมาย” ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือคำสั่ง คสช.ที่ปิดกั้นเสรีภาพ
กระแสเรียกร้องให้ปล่อย 14 นักศึกษาไม่ได้สำคัญที่ต่างประเทศ เป็นในประเทศเองต่างหาก เพราะคนที่ออกมาแสดงตัวมีจำนวนมากที่อยู่ตรงกลางๆ ไม่ใช่แค่คนที่ถูกหาว่าเป็น “แดง” มีกระทั่งคนที่เคยเข้าร่วมม็อบพันธมิตรม็อบ กปปส. มีทั้งคณาจารย์และนักกิจกรรมสังคม
กระทั่งพ่อ “ไผ่ ดาวดิน” ที่กลายเป็นหัวหอกพ่อแม่ ก็เคยมาร่วมม็อบนกหวีด แต่เมื่อวันศุกร์ไปถ่ายเซลฟี่กับสมบัติ บุญงามอนงค์
ถึงวันนี้ คสช.คงรู้แล้วว่าไม่น่าเล้ย ไม่น่า “จับเด็ก” จนบานปลาย กิจกรรมวันศุกร์จึงไม่กล้าห้าม แต่ครั้นจะปล่อยเด็กทันทีก็เหมือนยอมรับความ “พ่ายแพ้” ปล่อยไปแล้วนักศึกษาเคลื่อนไหวอีกจะทำไง เป็นปัญหาให้กุมขมับ
คำตอบก็อยู่ที่คำพูดปณิธานไงครับ ต้องยืดหยุ่นเปิดกว้างเปิดพื้นที่แสดงออกให้มากขึ้น แต่ทำอย่างไรให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่ “จัดเวที” ให้แสดงออกตามกรอบ คสช.เท่านั้น ซึ่งไม่มีใครเอาด้วยหรอก
ทำอย่างไร คสช.จะผ่อนคลายอำนาจ เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายรวมทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ คสช. ได้มีเสรีภาพในการแสดงออกมากขึ้น โดยยังอยู่ภายใต้อำนาจ คสช.
ย้อนดูรัฐประหาร 2549 สิครับ รัฐประหาร 49 ยังเปิดให้มีทีวีดาวเทียม มีอภิปรายโต้เถียงตามมหาวิทยาลัยตามรายการวิทยุทีวี เปิดให้มีกระทั่งม็อบสนามหลวง ม็อบ นปก.ซึ่งไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ เอาแค่เสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์แสดงความเห็น ซึ่งที่จริงทุกวันนี้ก็ห้ามได้ไม่หมดแต่มันลักปิดลักเปิดเท่านั้น
ท่านอาจบอกว่า ขืนผ่อนคลายเดี๋ยวกระแสต้านกระแสประชาธิปไตยก็แรงขึ้นอีก ความจริงมันแรงอยู่แล้วแต่กระแสที่ถูกกดไว้กับปล่อยให้ระบายบ้าง อย่างไหนดีกว่ากัน
คสช.ต้องมั่นใจว่า สถานการณ์วันนี้ยังไม่มีใครล้มท่านได้หรอก เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นทางออกจากความขัดแย้ง จึงจำยอมหรือยอมรับ “ระบอบ คสช.” ชั่วคราว แต่ธรรมชาติสังคมไทยที่มีเสรีภาพมายาวหลายสิบปี อยู่อย่างนี้ก็อึดอัด จึงอยากมีปากเสียงมีกิจกรรมบ้าง ทุกข้างนั่นแหละ
การผ่อนคลายอาจเหมือน “ถอย” แต่แปลกตรงไหน ทุกคนก็รู้ว่าอำนาจรัฐประหารใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น มีอะไรจำเป็นต้องรีบทำ แล้วถอยไปอย่างมี step รัฐประหาร 49 ก็เป็นเช่นนี้ รู้ว่าตัวเองจะเข้ามาทำอะไร รีบทำรีบไป จึงไม่กลัวที่จะคลายอำนาจ
คสช.ก็เช่นกัน ถ้ามีเป้าหมายแน่ชัด หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า…จบ เสร็จสรรพ กลับบ้าน ก็ไม่ยากที่จะค่อยๆ ผ่อนอำนาจ แต่ถ้าไม่รู้ว่าเข้ามาทำอะไร ไม่รู้ภารกิจจะจบเมื่อไหร่ ต้องอยู่ไปเรื่อยๆ โดยใช้อำนาจตึงเปรี๊ยะตลอด มันก็ลำบากล่ะครับ
ใบตองแห้ง