บลจ.ทิสโก้ ออกกองลงทุนหุ้นไทย Well-being

บลจ.ทิสโก้ ออกกองลงทุนหุ้นไทย Well-being เสนอขาย 7-15 พ.ค.2562


นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน เม.ย. ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้จัดทำดัชนี SET Well-being (SETWB) เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง และมีกำไรติดต่อกัน 2 ปีจาก 3 ปีจำนวน 30 บริษัทใน 7 หมวดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการและการเกษตร ซึ่งเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขัน และหลายบริษัทเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ

ดังนั้น บลจ.ทิสโก้ได้เล็งเห็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน จึงนำเสนอ กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นไทย Well-being (TISCOWB) กองทุนรวมหุ้นความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SETWB โดดเด่นด้วยกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก ช่วยนักลงทุนคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานดี จากบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการตอบโจทย์มาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น และเกี่ยวเนื่องกับความกินดีอยู่ดีของคน

ขณะเดียวกันยังเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก รวมถึงมีราคาที่เหมาะสม  พร้อมปรับสัดส่วนการลงทุนของหุ้นแต่ละบริษัทตามสภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยเฉพาะในแต่ละวงจรเศรษฐกิจ เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 7-15 พฤษภาคม 2562

“บลจ.ทิสโก้นำเสนอกองทุน TISCOWB มาช่วยนักลงทุนคัดสรรหุ้นที่ดี แม้ว่าผลประกอบการในอดีตของหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETWB จะอยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่การลงทุนที่ดีนั้นนักลงทุนควรคัดเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานและพิจารณาราคาที่เหมาะสมมาประกอบด้วย”นายสาห์รัช กล่าว

ส่วนกลุ่มธุรกิจในภาคบริการและการเกษตรของไทย นับเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพในด้านการแข่งขันและมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะในอนาคตคนไทยจะอยู่ดีกินดีมากขึ้นจากรายได้ที่สูงขึ้น เห็นได้จากรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือน รายจังหวัด พ.ศ. 2545 -2560 จากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่พบว่ารายได้ของครัวเรือนในแต่ละจังหวัดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี ส่งผลให้มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยและมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดี

อีกทั้งประเมินว่าช่วงนี้ยังเป็นจังหวะที่เงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง จากปัจจัยการเมืองที่เริ่มชัดเจนขึ้นและแนวโน้มเศรษฐกิจที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง จากการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเรียกความเชื่อมั่นของรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปในลงทุนในกลุ่มที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสัดส่วนภาคบริการต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ในประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 50% ถือว่าเป็นระดับที่ยังไม่มากนักหากเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐฯ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ที่มีสัดส่วนภาคบริการต่อ GDP สูงถึงประมาณ 70-80% อีกทั้งยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เพราะมีสัดส่วนการจ้างงานอยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยสร้างรายได้ ยกระดับชีวิตคนไทยให้กินดีอยู่ดี และภาครัฐให้การส่งเสริมอยู่เสมอ

Back to top button