BBLโบรกฯชี้เผชิญปัจจัยลบหลายด้านสินเชื่อมีแนวโน้มชะลอตัวแนะนำให้ถือ

BBL โบรกฯชี้เผชิญปัจจัยลบหลายด้านอีกทั้งสินเชื่อจะโตแค่ 2.0% ในปี 2558 (จาก 1.7% ในปี 2557) เนื่องจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และการส่งออกที่อ่อนแอ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งใช้วิธีระดมทุนผ่านตลาดทุนเพื่อมาชำระคืนเงินกู้ธนาคาร และล็อคต้นทุนทางการเงินเอาไว้ในระดับที่ต่ำแนะนำให้ถือโดยให้ราคาเป้าหมายที่ 170 บาท


บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (6 ก.ค.) ว่า ได้คุยกับ IR ของ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เมื่อวานนี้เพื่อขอให้ช่วยชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับธนาคารถ้าหาก Thai TV ไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทีวีดิจิตัลส่วนที่เหลืออีก 1.6 พันล้านบาทให้กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

โดยในกรณีที่เลวร้ายที่สุด BBL ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องเป็นผู้ชำระเงิน 1.6 พันล้านบาทให้กับ กสทช. และธนาคารมีแผนที่จะแปลงเงินก้อนนี้ให้อยู่ในรูปของสินเชื่อในงบดุล ถึงแม้ธนาคารจะบอกว่าธุรกรรมนี้มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่เรามองเห็นความเป็นไปได้ที่หนี้ก้อนนี้จะกลายเป็น NPL และต้องมีการตั้งสำรองตามมาในที่สุด เรายังสงสัยว่า BBL จะตั้งสำรองเต็มจำนวน 1.6 พันล้านบาทหรือไม่เพราะยังมีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่ด้วย ถ้าเราตั้งสมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมว่ามีการตั้งสำรองเต็มจำนวน ก็จะส่งผลกระทบต่อกับประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ 3.8% 

ถึงแม้ว่า BBL จะมีสัดส่วน NPL coverage สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร แต่เรามองเห็นความเสี่ยงที่จะเกิด NPL ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากลูกค้า SME ขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็น downside risk ต่อประมาณการปี 2558 ของเรา ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1/58 การก่อตัวของ NPL ใหม่อยู่ที่ 161bp ของสินเชื่อรวม ในขณะที่ credit cost อยู่ที่ 67bp โดย Gross NPLs เพิ่มขึ้น 5% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเป็น 4.7 หมื่นล้านบาท หรือ 2.7% ของสินเชื่อ ในขณะที่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (special mention loan) ขยับเพิ่มขึ้นถึง 47% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเป็น 5.5 หมื่นล้านบาท หรือ 3.1% ของสินเชื่อในไตรมาสที่ 1/58

โดยคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของ BBL ในปีนี้จะลดลงเหลือ 2.10% จาก 2.25% ในปี 2557 ในขณะที่ธนาคารตั้งเป้าปีนี้เอาไว้ที่ 2.2-2.4% เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ย และสัดส่วน LDR ที่ต่ำเพียงแค่ 82% ในเดือนเมษายน 2558 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารที่ 95% การลดอัตราดอกเบี้ยรอบสองในเดือนพฤษภาคมจะไม่ส่งผลกระทบต่อ NIM ของ BBL เนื่องจากธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แต่คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเอาไว้เท่าเดิม เราคาดว่าNIM จะลดลงในอัตราที่น้อยกว่าตอนลดดอกเบี้ยรอบแรกเนื่องจากต้นทุนเงินฝากที่สูง (อัตราดอกเบี้ยของเงินฝากอายุ 11 เดือนที่ 2.8-3.0%) จากแคมเปญที่ BBL ออกมาในครึ่งหลังของปี 2557 จะถูกปรับใหม่ในไตรมาสที่ 2/58 และ 3/58 

อีกทั้งคาดว่าสินเชื่อจะโตแค่ 2.0% ในปี 2558 (จาก 1.7% ในปี 2557) เนื่องจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และการส่งออกที่อ่อนแอ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งใช้วิธีระดมทุนผ่านตลาดทุนเพื่อมาชำระคืนเงินกู้ธนาคาร และล็อคต้นทุนทางการเงินเอาไว้ในระดับที่ต่ำ

เชื่อว่าหุ้น BBL สมควรที่จะซื้อขายโดยมี discount จากหุ้นธนาคารตัวอื่นเนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อเรียกได้ว่าน่าผิดหวัง ในขณะที่ NIM ต่ำที่สุดในกลุ่ม และคุณภาพสินทรัพย์ก็ยังแย่ลงอีกด้วย เรามองว่ากำไรมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอในระยะต่อไป โดยคาดว่ากำไรสุทธิปี 2558 จะลดลง 6% เหลือ 3.40 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ ROE ลดลงเหลือ 10.2-10.4% ในปี 2558-2559 จากระดับเฉลี่ยที่ 12.0% ในช่วงปี่ 2553-2557 เราประเมินมูลค่าหุ้นของ BBL โดยใช้วิธี GGM (10.4% ROE, 10.8% COE) ได้มูลค่าเหมาะสมที่ 170 บาท คิดเป็น P/E ปี 2558 ที่ 9.5x FY15F P/E และ P/BV ที่ 0.94x P/BVแนะนำให้ถือ

 

Back to top button