หุ้นไหนดี? ยามสงครามการค้าระอุ
ขณะที่ตลาดปรับตัวลงเพราะสงครามการค้า โกลด์แมน แซคส์ ได้บอกว่า มีกลุ่มหุ้นที่จะได้รับ “ชัยชนะ” กับกลุ่มหุ้นที่ “ปราชัย” เมื่อนโยบายยังไม่คลี่คลาย
รายงานพิเศษ
ผู้เจรจาการค้าของจีนและสหรัฐไม่สามารถห้ามให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีสินค้าจีนตามที่ขู่ได้ ทำให้ตลาดหุ้นร่วงระนาวไปตามๆกัน แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะเจรจากันต่อไป แต่ก็ยัง มีความไม่แน่นอนมากอยู่ว่าสองเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลกจะทำข้อตกลงกันได้หรือไม่ และคำถามที่เกิดขึ้นในใจของนักลงทุนในเวลาเช่นนี้ คือลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดีจึงไม่เจ็บตัว
ในขณะที่ตลาดปรับตัวลงเพราะการคุกคามจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โกลด์แมน แซคส์ ได้บอกกับลูกค้าว่า มันจะมีกลุ่มหุ้นที่จะได้รับ “ชัยชนะ”กับกลุ่มหุ้นที่ “ปราชัย”เมื่อนโยบายการค้ายังไม่คลี่คลาย โดยบอกว่า “บริษัทที่ให้บริการ” อย่าง “อเมซอน” จะดีกว่า “บริษัทที่ผลิตสินค้า”อย่าง “แอปเปิ้ล” ในช่วงที่เกิดสงครามการค้า
เดวิด คอสติน หัวหน้านักกลยุทธ์หุ้นสหรัฐ ของโกลด์แมน แซคส์ อธิบายว่า บริษัทบริการจะมีความเสี่ยงต่อนโยบายการค้าน้อยกว่า แต่มีปัจจัยพื้นฐานของบริษัทดีกว่าบริษัทที่ผลิตสินค้าและจะมีผลงานโดดเด่นถึงแม้ว่าความตึงเครียดทางการค้าคลี่คลายในที่สุด
ในช่วงที่เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ ทีมกลยุทธ์ของโกลด์แมน แซคส์ จะแบ่งตลาดออกเป็นสองส่วน คือบริษัทที่ผลิตสินค้ากับบริษัทที่ผลิตบริการ โดยประเมินปัจจัยเสี่ยงของแต่ละส่วนในช่วงที่สงครามการค้าตั้งเค้า ในช่วงที่เกิดแรงเทขาย โกลด์แมน แซคส์ บอกว่าหุ้นบริการอย่างอเมซอน กูเกิ้ล และไมโครซอฟต์มีต้นทุนการผลิตด้านภาษีในต่างประเทศน้อยกว่า ดังนั้นจึงควรจะมีผลงานโดดเด่นสุด
รูปแบบการซื้อขายในช่วงที่มีการประกาศขึ้นภาษี และชะลอการขึ้นภาษีในปีที่ผ่านมาก็ชี้ว่า หุ้นที่ให้บริการ จะดีกว่าหุ้นที่ผลิตสินค้าตราบเท่าที่การพิพาทการค้ายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทเหล่านี้ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่มั่นคงกว่าและมีงบดุลที่แข็งแกร่งกว่า ซึ่งอาจทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านี้มีผลงานดีไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร
หุ้นในภาคบริการอื่นๆที่โกลด์แมนแซคส์คาดการณ์ว่า จะมีผลงานโดดเด่น ได้แก่ เน็ตฟลิกซ์ คอมคาสต์ เวลส์ ฟาร์โก เฟซบุ๊ก ดิสนีย์ โฮมดีโปต์ เอทีแอนด์ที แมคโดนัลด์ โดย 5 บริษัทหลังคาดว่า จะมียอดขายโตประมาณ 9% และมีกำไรโตประมาณ 7%ในปีนี้
ในทางกลับกัน บริษัทที่ผลิตสินค้าอย่างแอปเปิ้ล, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และเอ็กซ์ซอน โมบิล มีความเสี่ยงต่อการตอบโต้ของจีนมากกว่า นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่าบริษัทที่ผลิตสินค้าอย่าง พร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิ้ล อินเทล เชฟรอน โคคา-โคล่า และโบอิ้ง จะมีกำไรจะโตลดลง 2%ในปีนี้ และยอดขายจะไม่โตเลย ขณะเดียวกันยังแนะนำให้หลีกเลี่ยงบริษัท เป็ปซี่-โค บรอดคอม ฮันนีเวลล์ และเอ็นวีเดีย
สินค้าจีนที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีจาก 10% เป็น 25% ในครั้งล่าสุดนี้มีราว 5,700 รายการ โดย ภาคโมเด็มอินเทอร์เน็ต เราเตอร์ และอุปกรณ์ส่งข้อมูลอื่นๆกระทบเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยแผงวงจรพิมพ์ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในสหรัฐหลายชนิด มีมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังกระทบต่อเฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ที่ให้แสงสว่าง ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องดูดฝุ่น และวัสดุก่อสร้างด้วย
อย่างไรก็ดี หากสินค้า 5,700 รายการนี้ ออกจากสนามบินและท่าเรือจีนก่อนเวลาเที่ยงคืนวันพฤหัสบดี สหรัฐจะยังคงเก็บภาษี 10% เท่าเดิม
สมาคมเทคโนโลยีเพื่อผู้บริโภคของสหรัฐ โวยว่า ธุรกิจและผู้บริโภคอเมริกันจะเป็นคนจ่ายภาษี ไม่ใช่จีนเหมือนที่ทรัมป์ได้กล่าวอ้าง การขึ้นภาษีอาจเป็นความเป็นความตายของบริษัทสตาร์ทอัพ และธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่สามารถดูดซับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาได้
นักเศรษฐศาสตร์และที่ปรึกษาอุตสาหกรรมคาดว่าอาจจะใช้เวลาสามหรือสี่เดือนกว่าที่ผู้บริโภคในสหรัฐจะรู้สึกถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษี แต่บริษัทค้าปลีกไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น
ในขณะนี้แนวโน้มที่จะได้ข้อตกลงดูเหมือนจะลดลงไปมากแต่แนวโน้มที่การเจรจาอาจจะล้มลงได้เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าทั้งสองฝ่ายพยายามจะบอกว่าจะเจรจากันต่อไปก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับสองฝ่ายคือจะต้องเจรจากันต่อไป
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เพิ่มโอกาสที่จีนและสหรัฐอาจจะไม่ได้ข้อตกลงเช่นกัน
สเตฟาน เลกก์ อาจารย์และนักวิจัยเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัย เซนต์ แกลเลนในสวิสเซอร์แลนด์ คาดการณ์ว่า สงครามการค้าจะจะยืดเยื้อตราบเท่าที่สองฝ่ายสามารถจัดการกับแรงกดดันของตัวเองได้ จีนและสหรัฐอาจจะดิ่งลึกลงสู่กับดักธูซีดีดีส (Thucydides’ Trap) ซึ่งเป็นวลีที่ใช้อธิบายถึงการแข่งขันระหว่างอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ที่มักจบลงด้วยสงคราม
นั่นอาจจะเป็นมุมมองที่เป็นลบมากเกินไป
“มูดีส์”มองเชิงลบน้อยกว่าว่า รัฐบาลวอชิงตันและปักกิ่งยังอาจบรรลุข้อตกลงกันได้ในที่สุด แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสองฝ่ายคือการคุกคามที่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลก การขึ้นภาษีในสัปดาห์ที่ผ่านมายิ่งทำให้ภาวะการค้าโลกไม่แน่นอนมากขึ้น เพิ่มความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นทั่วโลกและทำให้นักลงทุนทั่วโลกไม่อยากเสี่ยง
กลยุทธ์ในการพิจารณาหุ้นของโกลด์แมน แซคส์ ข้างต้น อาจเป็นคู่มือที่นักลงทุนไทยน่าจะนำมาปรับใช้ได้ในยามที่สถานการณ์ยังลูกผีลูกคน