SAMART คาดยื่นไฟลิ่ง”ไอสปอร์ต”ช่วง Q3 คงเป้ารายได้ปีนี้ 3 หมื่นลบ.

SAMART คาดยื่นไฟลิ่ง"ไอสปอร์ต"ช่วง Q3/58 หวังเข้าตลาด mai ต้นปี 59


นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าบริษัท ไอ-สปอร์ต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/58 และน่าจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai)ได้ในช่วงต้นปี 59 โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอดไวซอรี่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ SAMART ถือหุ้นใน ไอ-สปอร์ต ร่วมกับ บมจ.สยามสปอร์ตซินดิเรื่อง(SMM) ฝ่ายละ 50% ของทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยมีแผนระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เพื่อนำไปขยายกิจการ ซื้อรถถ่ายทอดสด (OB) เพิ่มขึ้น รวมทั้งเตรียมเงินทุนไว้ใช้เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการกีฬายอดนิยม อาทิ ฟุตบอลโลก เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่ไปสู่ยุค Digital ด้วยการ Re-Positioning และ Re-Branding เพื่อให้เข้ากับตลาดยุคใหม่ หลังจากที่บริษัทได้ทำการสำรวจความคิดเห็นและมุมมองต่อกลุ่ม SAMART เกี่ยวกับจุดแข็งจุดอ่อนเพื่อนำมากำหนดแนวทางธุรกิจในช่วงต่อจากนี้

ทั้งนี้ บริษัทยอมรับว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีนี้ยังไม่สดใสมากนัก โดยเฉพาะ บริษัท สามารถไอโมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ยอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือลดลงจากประมาณการ แต่คาดว่าในไตรมาส 2/58 จะทำรายได้ดีกว่าไตรมาส 1/58 แต่ก็ยังต่ำกว่าไตรมาส 2/57 ที่มียอดขายเครื่องโทรศัพท์มือถือกว่า 1 ล้านเครื่อง

โดยในปีนี้ SIM ยังคงเป้าหมายยอดขาย 4 ล้านเครื่อง โดยจะเป็นยอดขายในประเทศราว 3 ล้านเครื่อง และจะมียอดขายจากต่างประเทศอีก 1 ล้านเครื่อง ที่จะเข้ามาชดเชยยอดขายในประเทศที่ชะลอตัวลง  โดยเฉพาะจากตลาดพม่าและตะวันออกกลาง ขณะที่บริษัทเตรียมร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือยื่นข้อเสนอต่อทางการพม่าในการทำตลาดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดว่าจะรู้ผลไม่เกินไตรมาส 3/58

ส่วนบริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL คาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องงานภาครัฐทยอยเปิดประมูล และมีงานที่รอเซ็นสัญญาอยู่กว่า 5 พันล้านบาท ด้าน SAMTEL ยังขยายฐานลูกค้าใหม่ในรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนในงาน ICT Solution เพิ่มขึ้นด้วย

ด้านธุรกิจพลังงานนั้น คาดว่าปีนี้จะลงทุนโรงไฟฟ้าขยะ 5 แห่ง โดยแห่งแรกที่เชียงใหม่ที่ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนไปแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จและจ่ายไฟเข้าสู่ระบบได้ในปี 60 ส่วนอีก 4 แห่งเป็นโรงไฟฟ้าขยะขนาดกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ลงทุนแห่งละ 1,000 ล้านบาท รวมใช้เงินลงทุน 4,000 ล้านบาท โดยในปลายเดือนก.ค.หรือต้นเดือน ส.ค.นี้คาดว่าจะสรุปการลงทุนได้ 1-2 แห่ง

ขณะที่ความคืบหน้าการเจรจาขายไฟโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เกาะกง ในกัมพูชา ขนาด 2,000 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นั้น คาดว่าในเดือน ส.ค.นี้จะยื่นข้อเสนอราคาขายไฟต่อกฟผ. ขณะเดียวกันก็รอผลจัดหาเงินลงทุนของโครงการที่มีมูลกว่า 1 แสนล้านบาท ประกอบกับมีหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ให้ความสนใจเข้าร่วมทุน โดยคาดว่าการเจรจาจะยุติได้ภายในปีนี้ แต่อาจจะเซ็นสัญญาได้ในปีหน้า

นอกจากนี้ยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว  2 แห่ง มีขนาดแห่งละกว่า 10 เมกะวัตต์ ซึ่งจะได้ผลการศึกษาในส.ค.นี้  โดยจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น

ทั้งนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยจะขอรอดูอีก 1-2 เดือนก่อนจะค่อยทบทวนเป้าหมาย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก โดยปีนี้จะมีรายได้ประจำ 25-30% ซึ่งมาจาก SAMTEL ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายมีรายได้ประจำสัดส่วน 50% ในช่วง 5 ปีนี้ ขณะที่ช่วงครึ่งแรกปีนี้สามารถขายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลได้แล้ว 1 ล้านกล่อง โดย 2-3 เดือนที่ผ่านมาสามารถขายได้เดือนละ 2 แสนกล่อง ทำให้คาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังการขายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอลจะยังคงดีต่อเนื่อง

Back to top button