พาราสาวะถี

รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2562 ถึงวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน 2562 รวม 7 วัน ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2562 ถึงวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2562 ยกเว้นวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน 2562 รวม 21 วัน เพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ


อรชุน

รัฐบาลประกาศให้สถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐและสถานศึกษาทุกแห่ง ลดธงครึ่งเสา ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2562 ถึงวันอาทิตย์ที่  2 มิถุนายน 2562 รวม  7  วัน ให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจและเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ทุกข์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่  27 พฤษภาคม 2562 ถึงวันจันทร์ที่  17 มิถุนายน 2562 ยกเว้นวันจันทร์ที่  3 มิถุนายน 2562 รวม  21  วัน เพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

นายทหารที่ถูกเรียกขานว่า “ป๋าเปรม” มีคุณงามความดีหลายด้าน แต่ที่จดจำสำหรับคนไทยในวงกว้างคือผลงานยุคนั้นผบ.ทบ.ที่ใช้การเมืองนำการทำทหารเพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามพคท. สมัยนั้น ก่อนจะมีการเซ็นคำสั่ง  66/2523  หลังจากที่ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงทำให้เกิดผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย นำคนเห็นต่างออกจากป่า หยุดการเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองได้สำเร็จ

ส่วนมิติทางด้านการเมืองนั้นน่าจะเป็นนายทหารเพียงรายเดียวที่ลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม เมื่อก้าวเข้ามาสู่ถนนแห่งการแก่งแย่งอำนาจ ด้วยวลีที่เป็นอมตะมาอยู่ถึงทุกวันนี้ “ผมพอแล้ว” ส่วนฟากฝั่งที่มองต่างออกไป ก็มีเสียงจาก จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. สะกิดเตือนมวลชนที่ไม่เอาป๋า เมื่อคนตายไปแล้วต้องอโหสิกรรม เลิกแล้วต่อกัน อย่างน้อยต้องรักษาพื้นที่ความเป็นมนุษย์ พร้อมยกคุณูปการของป๋าที่ยุติสงคราม พคท.และการรู้จักพอในอำนาจทางการเมือง

เรื่องเล่าของพลเอกเปรม คงหลั่งไหลผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่หากผู้มีอำนาจปัจจุบันจะนำสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาใช้เป็นตัวอย่าง ก็ช่วยประกาศให้ประชาชนรู้กันชัด ๆ ไปเลยว่า อำนาจสืบทอดนั้นจะรู้จักพอและวางมือเมื่อไหร่ หรือจะอยู่ไปจนครบ  20 ปีตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ หรือจะเปลี่ยนใจหลังได้เห็นเกมต่อรองกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วรู้สึกปลงได้ ไม่ขอไปต่อ นั่นยิ่งจะได้รับการสรรเสริญให้เป็นรัฐบุรุษในทันที เพราะสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของประชาชนคือ ความโสมมแห่งการสวาปามของนักการเมืองอย่างมูมมาม

ไม่ได้พูดเกินเลย เนื่องจากคะแนนโหวตจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไหลไปถึงรองประธานสภาคนที่ 1 และ 2 เห็นภาพชัดว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดงูเห่าแบบฉับพลันทันที ไม่ต้องบอกว่ามีใครควักจ่ายใครเป็นคนรับ สำหรับการยกมือหนุนอีกขั้วผิดไปจากขั้วที่พรรคพวกของตัวเองไปประกาศสัตยาบันร่วมกันไว้นั้น มีข่าวยืนยันว่ารับกันขั้นต่ำที่  3  ล้านบาท โดยมีบางพรรคเป็นงูเห่าทั้งพรรคตั้งแต่หัวหน้าไปยันลูกกระจ๊อ

จนเป็นเหตุให้มีแกนนำมวลชนบางรายถึงกับโมโหโกรธา เพราะมีเด็กในคาถาที่มีวาสนาได้เป็นส.ส.ไปร่วมเป็นงูเห่าด้วย ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทำให้เห็นอนาคตของรัฐบาลผสม  20  พรรคแล้วว่า นอกจากการต่อรองที่พรรคแกนนำจะต้องยอมแบบสุดตัวแล้ว รายทางเพื่อความมั่นคงของรัฐบาล โดยเฉพาะเวลาที่จะมีการลงมติในเรื่องที่สำคัญ เชื่อขนมกินได้เลยว่า จะต้องมีการควักซื้องูเห่ากันอยู่ร่ำไป เรียกได้ว่า ไม่ใช่การซื้อขาด แต่หย่อนเหยื่อให้งาบกันเป็นคราว ๆ ไป

ด้วยเหตุนี้ไงที่มีแกนนำของพรรคสืบทอดอำนาจบางรายออกมาพูดว่า แม้จะเสียงปริ่มน้ำ แต่ใช่ว่ารัฐบาลจะอายุสั้น ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ งานนี้ไม่ใช่แค่บรรดาเสือหิวต่างขั้วที่กลายร่างเป็นงูเห่ารับเศษเดนเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น แต่ส.ส.ในซีกส่วนพรรคร่วมรัฐบาล จะต้องมีการเลี้ยงดูปูเสื่อกันชนิดพุงกาง หากปล่อยให้อดอยากปากแห้ง เสถียรภาพของรัฐบาลสืบทอดอำนาจจะสั่นคลอนในทันทีทันใด

ส่วนการเดินสายส่งเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยของ อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หัวหน้าและแม่บ้านของพรรคสืบทอดอำนาจนั้น ก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่ทำให้เห็นว่ามีการเข้าตามตรอกออกตามประตู แต่อย่าไปดูเบื้องหลังว่าผ่านกระบวนการอะไรมากันบ้าง สิ่งที่เหลือหลังจากนี้ก็เป็นพิธีกรรมของพรรคเก่าแก่ เพราะภูมิใจไทยชิงตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นก็จะผุดวาทกรรมสร้างความชอบธรรมในการร่วมงานกับพรรคสืบทอดอำนาจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเผด็จการหรืออะไรใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องไปต่อว่าสองพรรคดังกล่าวทำไมถึงสีข้างเข้าถูกันได้แบบนี้ เพราะนี่คือความเป็นจริงของการเมืองไทย เป็นการเมืองที่ผู้นำเผด็จการเคยตั้งข้อรังเกียจและอ้างว่าจะปฏิรูปมาโดยตลอด แต่สุดท้ายก็อย่างที่เห็น หากมองในแง่ดีนี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนรุ่นหลังรุ่นใหม่ที่ไม่เคยเห็นการเมืองเมื่อสี่ซ้าห้าสิบปีที่แล้วได้เห็นภาพอย่างชัดเจน

พอนำไปนับรวมสภาเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ลากตั้งกันเข้ามาแล้ว สภาผัวเมียที่เกิดจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนนั้นชิดซ้ายไปเลย ความสามานย์ทั้งหลายที่คนรุ่นใหม่อาจเคยได้ยินเป็นเพียงเรื่องเล่าหรือผ่านหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองไทย ก็ได้มีโอกาสสัมผัสกันแบบตัวเป็น ๆ นี่กระมังผลของการปฏิรูปคือไม่ต้องมองไปถึงอนาคต แต่ย้อนกลับไปสู่ยุคการเมืองล้าหลัง อย่างที่ เกษียร เตชะพีระ เคยว่าไว้ เขาไม่อยากให้มีวันพรุ่งนี้

อย่างไรก็ดี บนความอัปยศอดสูที่ได้เห็นธาตุแท้ของนักการเมืองรุ่นเก่ากับท่วงทำนองตระบัดสัตย์ต่อประชาชน เราก็ยังได้คนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ในการสร้างการเมืองให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ภายใต้การนำของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล สองแกนหลักของพรรคอนาคตใหม่ และผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต  8 จังหวัดเชียงใหม่ ก็น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดว่า ประชาธิปไตยที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริงนั้นคือแบบไหน

แต่จากผลเลือกตั้งดังกล่าว ก็ทำให้เราได้เห็นความพิสดารพันลึกของรัฐธรรมนูญฉบับศรีธนญชัย เมื่อคะแนนที่เกิดขึ้น จะส่งผลต่อตัวเลขของส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่พรรคสืบทอดอำนาจจะได้เพิ่ม  1  คนเช่นเดียวกับประชาธิปัตย์ แต่พรรคเล็กลำดับสุดท้ายอย่างไทรักธรรมก็อาจจะหลุดออกไป ทั้ง ๆ ที่เมื่อ  2 วันที่ผ่านมาได้ใช้สิทธิโหวตทั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทน ฯ ไปแล้ว นี่ไง ผลของการวางกับดักแบบไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายกลายเป็นของเล่นไร้ค่าไร้ราคาไปเสียอย่างนั้น

Back to top button