MILL กางแผนล้างขาดทุนสะสมปีนี้-คาดพลิกกำไรเป็นครั้งแรกในรอบ 2-3 ปี
MILL เดินหน้าทยอยลดหนี้ตามแผนล้างขาดทุนสะสม ส่วนการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเข้าซื้อหุ้นบางส่วนนั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและราคาภายใน 1-2 เดือนนี้
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมบังคับคดีได้คืนเงินในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์ของ บมจ.อุตสาหกรรมเหล็กกล้าไทย(ทีเอสเอสไอ)จำนวน 831 ล้านบาทเสร็จสิ้นแล้ว หลังจากนี้บริษัทก็มีแผนที่จะนำเงินไปคืนหนี้ทั้งหมด โดยมีเป้าหมายจะลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (ดี/อี)ให้เหลือเพียง 1-1.5 เท่าภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน 2.79 เท่า
ขณะที่ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของ MILL จะลดลงเรื่อยๆ หลังจากเงินก้อนนี้ที่ได้มาจากกรมบังคับคดี 831 ล้านบาท ในระยะต่อไปบริษัทยังจะได้รับเงินจากบริษัท โกเบสตีล จำกัด ที่จะเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท มิลล์คอน สเปเชี่ยล สตีล ในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ นอกจากนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก คือ ที่ดินประมาณ 400-500 ไร่ ได้ภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนล้างขาดทุนสะสม 594 ล้านบาทภายในปีนี้ ซึ่งเป็นการล้างขาดทุนสะสมจากผลการดำเนินงาน เนื่องจากประเมินว่าผลประกอบการในปีนี้จะพลิกมีกำไรสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 2-3 ปี โดยในไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิ 129.70 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการของบริษัทจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 59 เนื่องจากโรงผลิตเหล็กเกรดพิเศษ ที่จะป้อนให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์จะเดินเครื่องเต็มที่ ประกอบกับมาร์จินการผลิตเหล็กเกรดพิเศษจะดีกว่าการผลิตเหล็กปกติถึง 2 เท่าตัว โดยผลิตภัณฑ์เหล็กเกรดพิเศษบางชนิดจะมีมาร์จินมากถึง 25% จากผลิตภัณฑ์เหล็กปกติที่มีมาร์จินเพียง 7-8 %
สำหรับความคืบหน้าการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเข้าซื้อหุ้นบางส่วนนั้น คาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นและราคาภายใน 1-2 เดือนนี้ โดยบริษัทได้เตรียมแผนเพิ่มทุน 500 ล้านหุ้น เสนอขายให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง (พีพี) เพื่อรองรับการเข้าไปลงทุน
โดยมีกำลังการผลิตที่ติดตั้ง 27 เมกะวัตต์ และได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) 8 ปีแรก และ 5 ปีถัดไปคิดภาษีในอัตราส่วนลด 50% ทั้งนี้จะได้รับค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่ม(Adder) ที่ 6.50 บาท เป็นระยะเวลา 10 ปี