สู่ยุค ‘ตู่ โควตา’
พรรครักษ์ผืนป่าทวงคำมั่นสัญญาพลังประชารัฐ ไม่ใช่อยากนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ต้องการให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นโควตาของ พปชร. แล้วตั้งดำรงค์ พิเดช เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่เคยตกลงกันไว้เพราะถ้าเก้าอี้นี้เป็นของชาติไทยพัฒนา วราวุธ ศิลปอาชา ก็จะใช้ทีมงานตัวเองหมด
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
พรรครักษ์ผืนป่าทวงคำมั่นสัญญาพลังประชารัฐ ไม่ใช่อยากนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี แต่ต้องการให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ เป็นโควตาของ พปชร. แล้วตั้งดำรงค์ พิเดช เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่เคยตกลงกันไว้เพราะถ้าเก้าอี้นี้เป็นของชาติไทยพัฒนา วราวุธ ศิลปอาชา ก็จะใช้ทีมงานตัวเองหมด
ฟังแล้วนายกฯ คงปวดกบาล เป็นเงื่อนไขพิสดาร ที่ต้องตกลงกัน 3 พรรค สื่อบางสำนักจึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีคนใน พปชร.หนุนหลัง ปฏิบัติการ “ทวงคืนผืนป่า” อันอุดมสมบูรณ์ แล้วสลับกระทรวงอดอยากปากแห้งไปให้ชาติไทยพัฒนา
การเมืองมีทั้งเรื่องศักดิ์ศรี หน้าตา และลู่ทาง ยกตัวอย่างพรรคชาติพัฒนามี 3 เสียง ถ้าได้ รมช.อุตสาหกรรม ก็ดีกว่าพรรคกำนัน 5 เสียงได้ รมว.ต่างประเทศพรรคพลังท้องถิ่นไทยแม้ปากบอกไม่ข้องใจ แต่คนก็สงสัย 3 เสียงเท่ากัน ทำไมเฮียชัชได้ไม่เท่าสุวัจน์
ขนาดพรรคเล็กยังต้องการตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษา เลขาฯ หรือประธานกรรมาธิการ ซึ่งอย่างน้อยก็นำคณะไปดูงานได้ เรียกข้าราชการบริษัทห้างร้านมาสอบได้
นักการเมืองที่รวมตัวเป็นกลุ่มก๊วน ล้วนต้องการเก้าอี้รัฐมนตรี เพื่อให้หัวหน้ากลุ่ม หัวหน้าภาค มีผลงาน มีโครงการผันงบประมาณลงพื้นที่หาเสียง รวมทั้งสามารถดูแลค่าใช้จ่าย ที่จะต้องไปงานศพงานบวช ช่วยเหลือชาวบ้าน หัวคะแนน ตามระบบอุปถัมภ์
นักการเมืองจึงมองกระทรวงไม่เท่ากัน ไม่มีใครอยากเป็นรัฐมนตรียุติธรรม รัฐมนตรีวัฒนธรรม หรือกระทั่งรัฐมนตรีศึกษา ซึ่งงบเยอะ แต่เป็นเงินเดือนครูเกือบหมด กลไกอำนาจก็ยุ่งเหยิงส.ส.มาฝากย้ายครู รัฐมนตรียังกุมขมับ
นี่ตรงกันข้าม หากพรรคอนาคตใหม่เป็นรัฐบาล คงโดดใส่เพราะอยากปฏิรูปการศึกษา แต่จะถูกรุมต้านหาว่าไปล้มล้างไหว้ครูหรือยุเด็กเป็นเรดการ์ด
กลุ่มสามมิตรจึงต้องได้พลังงานควบยุติธรรม กลุ่มชลบุรีได้แรงงานควบวัฒนธรรม กลุ่มที่ไม่ได้รับการเหลียวแลก็ออกมาโวย อย่าง พปชร.อีสานตอนบน ไม่พอใจว่าได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 17 คน เก้าอี้กลับไปหล่นในกรุงและโคราช
ภาคใต้ 13 คน ก็ตั้งกลุ่มด้ามขวาน อุตส่าห์โค่นเสาไฟฟ้า ปชป.ผู้แพ้หัวร่อร่า ได้ทั้งเกษตร พาณิชย์ คุมราคาปาล์ม ราคายาง ภท.ได้รัฐมนตรีพีทีคุมท่องเที่ยว ถ้า พปชร.ไม่ได้อะไรเลยสมัยหน้าก็สูญพันธ์
นี่คือระบบการเมืองเก่า พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจหรือยัง กองทัพเดินได้ด้วยการซื้ออาวุธ การเมืองก็เดินได้ด้วยผลประโยชน์ ถ้าเป็นพรรคที่ชนะด้วยนโยบาย ด้วยความนิยมในตัวผู้นำ ส.ส.ก็มีอำนาจต่อรองน้อย แต่พอเป็นพรรคเฉพาะกิจ รัฐบาลเฉพาะกิจ ดูดมาเป็นก๊วน ดูดมาเป็นพรรค ก็มีต้นทุนสูง ต่อรองกันเหนื่อย
ประยุทธ์ต้องเข้าใจ 3 ป.ต้องเข้าใจ สมคิด วิษณุ ต้องเข้าใจ ตำแหน่งที่ได้มาตามโควตาทางการเมือง ไม่ใช่ของฟรี ต้องมีคนดูแลลูกพรรค ถ้าจัดเก้าอี้รัฐมนตรีให้ไม่ได้ ไม่ทั่วถึง ก็ต้องมีคนจัดสรรค่าใช้จ่ายให้ ส.ส. จัดโครงการจัดงบประมาณลงพื้นที่ ให้มีผลงานไปอวดชาวบ้าน รวมทั้งไปหาผู้รับเหมา จะลอยตัวเป็นพระเอกหน้าขาวเหมือนรัฐบาลรัฐประหารไม่ได้
ขณะเดียวกัน ก็ต้องประสานผลประโยชน์ ทั้งในพรรคแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีปัญหากันเอง แม้น่าจะลากถูไปได้ เพราะพรรคไหนก็ไม่อยากให้ยุบสภา ไม่อยากเป็นฝ่ายค้าน แต่จะอุดมไปด้วยคลื่นใต้น้ำ ซ่อนดาบมิดชิด ใครหันหลังพริบตาเดียว ทะลุอก เพื่อชิงตำแหน่งหรือแย่งฐานเสียง
นี่คือการเมืองถอยหลัง ซึ่งประยุทธ์โดดลงมาเล่น แถมจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง น่าสนุกมาก จาก “ตู่ ม.44” ต่อไปนี้ต้องเป็น “ตู่ โควตา” นักประสานผลประโยชน์ทางการเมือง