หุ้นเด่น น่าลงทุน!
ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวขึ้นร้อนแรงที่สุดในตลาดภูมิภาค เหตุผลหลักมาจาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท
ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2562 มา ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวขึ้นร้อนแรงสุดในตลาดภูมิภาค เหตุผลหลักมาจาก Fund Flow ที่ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยกว่า 3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้การปรับตัวขึ้นของ SET Index ถือว่าปรับตัวขึ้นเร็วและแรงจนใกล้เต็มมูลค่าพื้นฐาน จากนี้ไปการปรับตังขึ้นของดัชนีจึงมีแนวโน้มจำกัดอยู่ในกรอบ
ขณะที่ตลาดให้น้ำหนักไปที่ 2 ประเด็นหลัก คือ การประชุมเฟด อีกประเด็นหนึ่ง คือการประกาศหุ้นเข้าออกจากดัชนี SET50 และ SET100 รอบครึ่งหลังปี 2562 ซึ่งส่วนใหญ่จะประกาศในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ค. 62 ซึ่งทางบล.เอเซีย พลัส ประเมินไว้ว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย. 62 หุ้นที่คาดว่าจะถูกเข้าคำนวณใน SET50 และ SET100 ราคาตอบสนองเชิงบวกมาได้ระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกถูกตลาดดันขึ้นเช่นกัน จนมีผลตอบแทนเป็นบวกพอสมควร
ดังนั้นหุ้นที่ถูกคัดเข้ายังมีโอกาสปรับขึ้นได้ แต่อาจไม่ร้อนแรงเหมือนสถิติในอดีต ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกถือว่าเป็น Sentiment เชิงลบกดดันในช่วงสั้นนี้
สถานการณ์เช่นนี้ ด้วย Upside ของ SET Index ที่เริ่มจำกัด ทางบล.เอเซีย พลัส แนะนำลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ต่ำและการเติบโตเหนือตลาด เลือก บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ SCCC เป็น Top Picks โดย บริษัทได้แรงหนุนจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีราว 29% เป็นผลบวกโดยตรงต่อธุรกิจปูนซีเมนต์
สำหรับกรณีของ SCCC ราคาเป้าหมาย 269 บาท มีต้นทุนผลิต 60-70% มาจากพลังงาน นอกจากนี้แผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐหนุนความต้องการใช้และราคาปูนในประเทศดีขึ้น และ SCCC จะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุนโครงการที่ลงทุนในต่างประเทศเต็มที่ คาดกำไรสุทธิปี 2562-2563 โตเฉลี่ย 17% ต่อปี พร้อมหวังปันผลได้ 4-5% ต่อปี
ขณะที่ทาง บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองแนวโน้มตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ ปี 2562 คาดจะเติบโต ประมาณ 3-5% จากแรงขับเคลื่อนด้วยโครงการก่อสร้างระบบขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนจากภาคเอกชน ส่วนตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มจะโตต่อเนื่อง ในขณะที่ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น และต้นทุนถ่านหินที่ลดลง
รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา จะหนุนให้ความสามารถทำกำไรดีขึ้น แต่ในไตรมาสสองจะมีการตั้งสำรองเพิ่ม 249 ล้านบาท ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ที่ให้จ่ายเงินชดเชยกรณีการเลิกจ้างและเกษียณอายุจากเดิม 300 วัน เป็น 400 วัน แต่คาดยอดขายของ SCCC ปี 2562 เท่ากับ 47,002 ล้านบาท เติบโต 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดจะมีกำไรสุทธิ 3,653 ล้านบาท เติบโต 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
อีกทั้ง SCCC มีการจ่ายปันผลในอัตราสูงต่อเนื่องประมาณ 70-80% ของกำไร ประเมินปันผลของกำไรปี 2562 เท่ากับ 10-11 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.9% ประเมินราคาเป้าหมาย 265 บาท
นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นที่มี Valuation ต่ำและการเติบโตเหนือตลาด…ยังมีกลยุทธ์การลงทุนจาก บล.ทิสโก้ โดยการใช้วิธีเทรดดิ้งสั้นใช้กรอบ (SET Index) เคลื่อนไหวบริเวณ 1,650-1,690 จุด ขึ้นเน้นขาย-ลงซื้อคืนทำรอบไปก่อน
เทรดดิ้งสั้น เนื่องจากตราบใดที่ SET ยังไม่สามารถขึ้นทะลุ 1,685 จุด มอง SET ยังอยู่ในช่วงการพักฐานต่อไป, หาก SET ถอยลงจนปิดต่ำกว่า 1,660 จุด จะเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ดี และแนะนำใช้ Stop เมื่อ SET ปิดต่ำกว่า 1,650 จุด
ดังนั้นประเด็นการลงทุนเน้นหุ้นน่าสนใจ เน้นเลือกพื้นฐาน อย่าง บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/2562 คาดเติบโตราว 1.56 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ผลจากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคลและหนี้เสียฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มองได้ประโยชน์จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ มูลค่าเหมาะสม 48 บาท
นอกจากนี้หุ้นพื้นฐานดีมีรายได้มั่นคงและปลอดภัยจากสงครามการค้า ได้แก่ ADVANC, AOT, BEM, BTS, INTUCH และ MAJOR
ประเด็นต่อมาเป็นหุ้นรับอานิสงส์จัดตั้งรัฐบาล ด้านบริโภค ได้แก่ CPALL, BJC, CPN, MAJOR, KTC และ AEONTS ส่วนด้านลงทุน ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA, CK, STEC, UNIQ, SEAFCO และ PYLON และรับอานิสงส์จากด้านท่องเที่ยว ได้แก่ AOT, MINT, CENTEL และ ERW
ถัดมาเป็นประเด็นหุ้นคาดเข้า SET50 ได้แก่ OSP, SAWAD และคาดเข้า SET100 ได้แก่ OSP, BA, S, SPCG รวมถึง FTSE SET เข้า Mid Cap 3 ตัว คือ TFFIF, EGATIF, COM7 และ FTSE Rebalancing มีผลสิ้น 21 มิ.ย. หุ้นไทยเข้า 7 ตัว Mid Cap ได้แก่ OSP , Small Cap ได้แก่ TFFIF , Micro Cap ได้แก่ PR9, BGC, SPRIME, NER
ประกอบกับหุ้นเข้าข่ายอาจทำ Window Dressing ได้แก่ BBL, KBANK, CPN, CPNREIT, RATCH, TTW และ VGI
ที่สำคัญแนะนำทยอยสะสมหุ้นคาดเบื้องต้นว่ากำไรปกติไตรมาส 2 โตจากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีปันผลจ่ายระหว่างกาล โดยหุ้นได้แก่ AMATA, BAY, BCH, BGRIM, BLA, CBG, GGC, HMPRO, LPN, MAJOR, PYLON, ROJNA, SEAFCO, SPALI, TASCO และ TFG
อย่างไรก็ตามด้วยดัชนีที่อาจปรับตัวขึ้นมากเกินไปจนเข้าเขต Overbought หรือขึ้นมาชนแนวต้าน 1,680-1,685 จุด อาจทำให้ช่วงถัดไปดัชนีคงจะแกว่งไซด์เวย์ออกด้านข้างก่อนเพื่อไปต่อได้ พร้อมยังเฝ้ารอติดตามผลประชุมเฟดอยู่ เพื่อรอดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยออกมาอย่างไรบ้าง
ส่วนในประเทศก็ติดตามคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะมีการจัดสรรคลื่น 700 MHz ในวันที่ 19 มิ.ย.62
ดังนั้นหุ้นดังกล่าวถือเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุน!!!