พาราสาวะถี

ครบ 90 วันของการเลือกตั้งภายหลังรัฐประหาร ป่านนี้ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอน เกิดภาวะแปรปรวนป่วนปั่นได้ตลอดเวลา นั่นอาจมาจากสาเหตุ 2 ประการคือ รัฐบาลผสมมากพรรค จำเป็นต้องรับทุกเงื่อนไขและรายชื่อที่พรรคร่วมส่งมาให้ จำใจต้องตรวจสอบตามกระบวนการ หากไม่หนักหนาสาหัสก็ต้องหลิ่วตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านกันไป ลืมคำว่าธรรมาภิบาลที่ท่านผู้นำพล่ามมาตลอดเวลากว่า 5 ปีไปเสีย


อรชุน

ครบ 90 วันของการเลือกตั้งภายหลังรัฐประหาร ป่านนี้ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอน เกิดภาวะแปรปรวนป่วนปั่นได้ตลอดเวลา นั่นอาจมาจากสาเหตุ 2 ประการคือ รัฐบาลผสมมากพรรค จำเป็นต้องรับทุกเงื่อนไขและรายชื่อที่พรรคร่วมส่งมาให้ จำใจต้องตรวจสอบตามกระบวนการ หากไม่หนักหนาสาหัสก็ต้องหลิ่วตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านกันไป ลืมคำว่าธรรมาภิบาลที่ท่านผู้นำพล่ามมาตลอดเวลากว่า 5 ปีไปเสีย

อีกประการคือ ความเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมอยากจะให้รายชื่อออกมาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคเอกชนและคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน เพราะมันหมายถึงการเดินหน้าทำงานได้ทันที เป็นการออกสตาร์ตที่ไม่ต้องมาพะวงกับข้อครหาและการจับตามองอย่างใกล้ชิดว่ามีคนนี้มาร่วมรัฐบาลแล้วจะเป็นตัวถ่วงและอาจทำให้รัฐนาวาเกิดการสะดุดได้ตลอดเวลา

ดังนั้น จึงปรากฏข่าวรายชื่อรัฐมนตรีมีปัญหา ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ ที่ว่าโผนิ่งแล้วจึงยังไม่สนิท โดยเฉพาะล่าสุดกับ 2 รายชื่อรัฐมนตรีช่วยจากพรรคร่วมรัฐบาลไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ ทำให้คนหันไปโฟกัสว่าเป็นใคร ที่โดดเด่นมีอยู่ 2 คนคือ นิพนธ์ บุญญามณี ว่าที่รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยจากพรรคประชาธิปัตย์ และ “กำนันป้อ” วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล ว่าที่รัฐมนตรีช่วยพาณิชย์จากค่ายภูมิใจไทย โดยทั้งสองรายถูกมองว่าติดปัญหาเรื่องคดีความที่อยู่ระหว่างดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ออกมาปฏิเสธและยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง พร้อมการันตีว่าไม่มีสัญญาณเปลี่ยนตัวมาจากพรรคแกนนำรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี โดยนิพนธ์ชี้แจงที่มีเรื่องร้องให้ตรวจสอบสามารถชี้แจงได้ทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องทุจริต โดยเฉพาะเรื่องการจ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงถนนล่าช้า เป็นพร้อมย้ำว่าตัวเองมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเป็นรัฐมนตรี และเรื่องที่มีการร้องก็มีหลักฐานเอกสารหักล้างได้ทุกอย่าง

ด้านกำนันป้อก็แจกแจงคุณสมบัติส่วนตัวอย่างละเอียดยิบเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องการบุกรุกที่ดินส.ป.ก.ที่มีผู้ระบุว่าอาจเป็นชนวนเหตุถูกตีกลับรายชื่อคั่วเก้าอี้เสนาบดี เหตุคดีความได้จบไปแล้วและไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถเคลียร์ตัวเองได้ทุกอย่าง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจกับข่าวที่ออกมาแบบนี้ แน่นอนว่าอาจมีคนจ้องที่จะโจมตีหลากหลายรูปแบบ จึงขอให้สื่อช่วยฟังข้อมูลที่ถูกต้องและลงพื้นที่ตรวจสอบ โดยสามารถไปสอบถามชาวบ้าน 85 หมู่บ้านในพื้นที่ได้ว่าตัวเองเป็นคนอย่างไร

รายของว่าที่รัฐมนตรีจากภูมิใจไทยนั้น พอจะคิดกันได้เพราะมีโจทก์ตัวเป้งอยู่ในพรรคแกนนำรัฐบาล มีคดีความกันมายาวนาน จึงอาจเป็นสาเหตุที่ถูกเตะตัดขาได้ แต่ดูเหมือนว่าปมว่าที่รัฐมนตรีขาดคุณสมบัตินั้น ไม่น่าสนใจเท่าเก้าอี้รัฐมนตรีจากพรรค 3 เสียง ชาติพัฒนาถูกริบด้วยเหตุผลอันชวนช้ำใจว่า โควตารัฐมนตรีเต็มแล้ว เจอไม้นี้เข้าไปเล่นเอาเต้นกันทั้งพรรคโดยเฉพาะ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่หวังดันน้องชาย เทวัญ ลิปตพัลลภ ให้ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีเสียที หลังจากเป็นเงาให้พี่มาอย่างยาวนาน

ประเด็นนี้ร้อนถึง ดล เหตระกูล เลขาธิการพรรคต้องออกมาเตือนความจำพรรคสืบทอดอำนาจ ชาติพัฒนาทำงานการเมืองด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ รักษาคำพูด และข้อตกลงทางการเมืองที่มีต่อกันกับพลังประชารัฐในทุกเรื่อง ให้ความร่วมมือในการจัดตั้งรัฐบาลทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องในฐานะพรรคร่วมมาตลอด นับแต่การโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี การแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน การเข้าร่วมประชุมกับวิปรัฐบาล การลงมติในที่ประชุมสภา

พร้อมกันนั้นก็ได้ยกยอปอปั้นผู้นำสืบทอดอำนาจ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นการตอกย้ำถึงความมีอำนาจเด็ดขาดของพลเอกประยุทธ์ด้วยการยืนยันว่า ชาติพัฒนาได้ทำหนังสือถึงนายกฯ เรื่องการเข้าร่วมรัฐบาล และเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเป็นตัวแทนของพรรคในตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อให้ท่านผู้นำเป็นผู้พิจารณา กรณีนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความเป็นหลิวลู่ลมของสุวัจน์ว่าพร้อมจะกลืนเลือดเพื่อให้กระบวนการสืบทอดอำนาจเดินต่อไปได้หรือไม่

จะว่าไปคงเป็นเรื่องยากที่ยอม เนื่องจากชาติพัฒนาถือเป็นพรรคการเมืองอันดับต้น ๆ ที่ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนไม่รังเกียจอำนาจสืบทอด ความจริงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะได้เข้าไปร่วมงานทางการเมืองกับพรรคสืบทอดอำนาจเสียด้วยซ้ำไป หากไม่ติดขัดว่าประชาชนในพื้นที่ไม่ยอมรับ ซึ่งเข้าใจได้ว่า เหตุผลที่ทำให้พรรคของสุวัจน์วืดเก้าอี้นั้น ก็เพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งของ ดำรงค์ พิเดช จากพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย รวมทั้งพรรคเล็กพรรคจิ๋ว ที่สำคัญคือก๊วนส.ส.ในพรรคเดียวกันเอง

ด้วยสารพัดเงื่อนไขที่ผูกมัด เวลานี้อำนาจการตัดสินใจจึงไม่ได้เป็นเรื่องของแกนนำพรรคอย่าง อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อีกต่อไป ทุกอย่างถูกโยนไปให้ท่านผู้นำเป็นผู้ชี้ขาด ความจริงก็เป็นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ผู้นำเผด็จการรับเก้าอี้นายกฯ รอบสองอย่างเป็นทางการแล้ว จึงมีบทบาทอย่างเต็มที่ในการบัญชาการและเดินเกม ด้วยเหตุนี้คำขู่ของดำรงค์จึงเป็นเพียงลมพัดผ่าน และเจ้าตัวที่มีส.ส. 2 เสียง คงได้ไปเป็นฝ่ายค้านอิสระสมใจ

จากกลไกที่วางไว้เพื่อการสืบทอดอำนาจและตีกันพวกเห็นต่างไปในตัว แต่พอกฎหมายมีผลบังคับใช้ที่หมายถึงว่าต้องทั่วถึงกันทุกคน ดอกผลที่ได้รับกลับเป็นว่า ที่ตั้งป้อมจะใช้เล่นงานฝ่ายตรงข้าม ทำไปทำมา พวกเดียวกันก็กำลังสะบักสะบอม เห็นได้จากกรณีหุ้นสื่อ วันนี้บรรดาส.ส.ผู้ทรงเกียรติตั้งป้อมล่อกันเละเทะ ละเลงกฎหมายของเนติบริกรชั้นครูกันเลอะเทอะไปใหญ่

ปัจจัยชี้ขาดจึงอยู่ที่องค์กรซึ่งมีหน้าที่ในการตีความข้อกฎหมาย ประเด็นที่มีการร้องเรียนกันไปมานั้นจะมีข้อสรุปอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า ผลแห่งคดีที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและผลที่จะตามมาของคดีที่คาอยู่ในมือ มันสั่นสะเทือนทั้งความเชื่อถือขององค์กร รวมไปถึงมันจะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ เพราะถ้าส.ส.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่กันเกินเกือบครึ่งค่อนสภา ประเทศจะเดินต่อกันอย่างไร นี่แหละกับดักกฎหมายที่หวังใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานคนอื่น สุดท้ายกลายเป็นขว้างงูไม่พ้นคอไปเสียฉิบ

Back to top button