หุ้นเด่นครึ่งหลังปี 2562!
การปรับตัวขึ้นของ SET ปัจจัยหลักคือมาจากนักลงทุนต่างชาติพลิกมาเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยในปี 2562 เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี กว่า 3.72 หมื่นล้านบาท
เส้นทางนักลงทุน
สถานการณ์ภาพรวมของ SET Index นับตั้งแต่ต้นปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ถือว่าเป็นบวก! เพราะทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง การปรับตัวขึ้นของ SET ปัจจัยหลักคือมาจากนักลงทุนต่างชาติพลิกมาเป็นยอดซื้อสุทธิหุ้นไทยในปี 2562 เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี กว่า 3.72 หมื่นล้านบาท จากแรงหนุนของการได้มาของทีมบริหารประเทศตามระบบรัฐสภา ช่วยลดความเสี่ยงทางการเมือง และหนุนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น ล่าสุดค่าประกันความเสี่ยง (CDS) 5 ปีของไทย ลดลงต่อเนื่อง และเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2549-2550 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ S&P Credit ได้ปรับเครดิตไทยขึ้น
ดังนั้นมีโอกาสที่จะเห็น S&P หรือ Moody’s พิจารณาปรับเพิ่มเครดิตไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ถึงครึ่งแรกปี 2563 ได้เช่นกัน ซึ่งจะเป็น Upside Risk ของตลาดหุ้นไทย ผสานการ Rebalance ของ MSCI รอบล่าสุดที่มีการปรับเพิ่มน้ำหนักของตลาดหุ้นไทย 28 พ.ค. 2562 ที่ทำให้การเข้ามาของเงิน Passive Funds ที่ลงทุนตาม MSCI วันนั้น กว่า 1 แสนล้านบาท ช่วยซับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติระยะยาวที่ต้องการขายหุ้นไทย จนทำให้เกิดภาพ Under-Owned ของต่างชาติอย่างแท้จริง
ส่วนภายใต้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางโลก กำลังผลักดันให้ Fund Flow หนุนตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นรอบใหม่ CNS วางดัชนีเป้าหมายปี 2562 ที่ระดับ 1,800 จุด อิง PER 16.7 เท่า และกรณี Best Case ที่ 1,887 จุด หาก Fund Flow ไหลเข้าอย่างมีนัย และมีโอกาสที่ SET จะทำจุดสูงสุดใหม่ช่วงครึ่งหลังของปี 2563
นอกจากนี้มีแรงขับเคลื่อนจากครึ่งหลังของปี 2562 เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากภายในและกระจายตัวดีขึ้น แรงสนับสนุนจากนโยบายของ 3 พรรคการเมืองหลักทั้ง พปชร. ภท. และ ปชป. ที่จะแข่งขันกันทำงาน หนุน Theme การลงทุน Domestic Play เด่น
ประเด็นบวกข้างต้น จึงมีข้อมูลจาก บล.โนมูระ พัฒนสิน มาแนะนำลงทุนในกลุ่มหุ้นดังนี้!!!
1) หุ้นที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
- กลุ่มการบริโภค ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL , บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF , บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS , บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KAMART, บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN , บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA , บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE
- กลุ่มธนาคาร ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB , ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK , ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL
- กลุ่มอิงการลงทุน ได้แก่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC, บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO, บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON , บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA , บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA , บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC
- กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW
2) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า ได้แก่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA , บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO , บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM , บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP
3) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยโลกที่ลดลง ได้แก่ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD, บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH , บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) หรือ TK , บริษัท เอส 11 กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ S11
หากคัดหุ้นทั้งหมดของหุ้นที่ได้รับประโยชน์ แต่จะยกให้เป็นหุ้นสุดยอดประจำช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ของแต่ละกลุ่ม โดยเลือกหุ้น อาทิ ROBINS, CPF, CPALL, MINT, SCB, AMATA, WHA, STEC, PYLON, TASCO และ KAMART ซึ่งอาจจะเป็นดาวเด่นของการลงทุนนั่นเอง
ประเด็นต่อมาหุ้นที่เป็นดาวเด่นของแต่ละกลุ่มถือว่าราคาหุ้นยังมี Upside ให้นักลงทุนเข้าไปลงทุนเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย
โดยได้หยิบยกตัวอย่างราคาเป้าหมายของโบรกฯ เช่น ROBINS ทาง บล. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 75 บาท ต่อมา CPF ทาง บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30 บาท ต่อมา CPALL ทาง บล. กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 92 บาท
ต่อมา MINT ทาง บล. ซีจีเอส-ชีไอเอ็มบี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 44.70 บาท ต่อมา SCB ทาง บล. เคทีบี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 145 บาท ต่อมา AMATA ทาง บล. กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท ต่อมา WHA ทาง บล.ซีจีเอส-ชีไอเอ็มบี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.90 บาท
ต่อมา STEC ทาง บล.ซีจีเอส-ชีไอเอ็มบี แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท ต่อมา PYLON ทาง บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.40 บาท ต่อมา TASCO ทาง บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23 บาท และ KAMART ทาง บล. ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท
ประเมินว่าในครึ่งปีหลังหุ้นดังกล่าวมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบราคาเป้าหมาย!!