พาราสาวะถี
เห็นอาการสะใจของพวกสุดโต่งต่อกรณี “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูกทำร้ายล่าสุด ที่อาการปางตายและอาจจะพิการตาบอด 1 ข้างก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ อยู่คนละฝ่าย ถ้าผู้มีอำนาจ ผู้นำเผด็จการ เห็นไม่ต่างจากคนพวกนั้นก็ต้องบอกว่าบ้านเมืองน่าเป็นห่วง และถือเป็นทุรยุคอย่างที่ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ว่าไว้อย่างแน่นอน เพราะการเพิกเฉยและเย้ยหยันต่อผู้ถูกกระทำเพียงแค่ความเห็นต่างถือเป็นอันตรายยิ่งของสังคม ยิ่งเป็นสังคมที่ได้ชื่อว่าประชาธิปไตย
อรชุน
เห็นอาการสะใจของพวกสุดโต่งต่อกรณี “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูกทำร้ายล่าสุด ที่อาการปางตายและอาจจะพิการตาบอด 1 ข้างก็เป็นได้ ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ อยู่คนละฝ่าย ถ้าผู้มีอำนาจ ผู้นำเผด็จการ เห็นไม่ต่างจากคนพวกนั้นก็ต้องบอกว่าบ้านเมืองน่าเป็นห่วง และถือเป็นทุรยุคอย่างที่ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ว่าไว้อย่างแน่นอน เพราะการเพิกเฉยและเย้ยหยันต่อผู้ถูกกระทำเพียงแค่ความเห็นต่างถือเป็นอันตรายยิ่งของสังคม ยิ่งเป็นสังคมที่ได้ชื่อว่าประชาธิปไตย
เตือนมาดัง ๆ เช่นกันจาก ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมัยตัวเองเป็นนักศึกษาในยุคพฤษภาทมิฬ 2535 ในช่วงที่ไม่ใช่เหตุการณ์ชุมนุมก็ไม่เคยมีใครโดนอะไรแบบนี้ ดังนั้น ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันหยุดยั้งการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจากฝ่ายใด และรัฐบาลจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้น “ยากที่จะทำให้คนเขาเชื่อได้ว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วย”
เช่นเดียวกัน สุริยะใส กตะศิลา แกนนำม็อบต้านทักษิณที่ชัดเจนว่าอยู่คนละขั้วกับจ่านิว ยังออกมาเรียกร้อง แม้ในทางการเมืองจะเห็นต่างกันในบางเรื่อง แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ความรุนแรงเข้าทำร้ายกันเพียงเพราะเห็นต่างกัน เรื่องนี้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องเร่งดำเนินการกับคนร้ายและขอให้ทำจริง ๆ มาถึงขั้นนี้ จะใส่เกียร์ว่าง วางเฉย ไม่หือไม่อือ เหมือนกรณี เอกชัย หงส์กังวาน ที่ถูกทำร้ายหลายหนและรถถูกเผาสองรอบไม่ได้แล้ว
นับรวมกรณีที่เกิดขึ้นกับคนเห็นต่างเผด็จการ 11 ครั้งที่ถูกกระทำวันนี้ทุกกรณียังเงียบฉี่ ไม่ว่าพวกที่สนับสนุนเผด็จการจะยกสารพัดเหตุผลใดมาอ้าง โดยเฉพาะการปกป้องฝ่ายกุมอำนาจและพวกตรงข้ามจ่านิวว่าไม่น่าจะโง่ลงมือทำเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่หัวใจสำคัญ จุดใหญ่ใจความคือ ไม่ว่าใครจะลงมือ เจ้าหน้าตำรวจและทหารที่ยังมีอำนาจตามคำสั่งคสช. ต้องลากคอคนที่ก่อเหตุอุกอาจมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะนี่ถือเป็นการท้าทายอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ถ้ายังไร้ความสามารถ จับมือใครดมไม่ได้ การอยู่ต่อไปในอำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยิ่งจะถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นผู้นำที่เพิกเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับฝ่ายเห็นต่าง ไม่แยแสต่อความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้าม ความเป็นจริงของสังคมประชาธิปไตยก็คือ ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของใคร กลุ่มใดหรือไม่ การทำร้ายผู้ที่เคลื่อนไหวด้วยความบริสุทธิ์ใจและสองมือเปล่า เป็นสิ่งที่สังคมประชาธิปไตยไม่อาจรับได้
คงเลิกสงสัยกันแล้วว่าเหตุใดท่านผู้นำจึงผิดคำสัญญาอยู่เนือง ๆ โดยเฉพาะล่าสุดที่เพิ่งสัญญากับผู้นำอาเซียนว่าโผครม.ของรัฐบาลชุดใหม่ของประเทศไทยจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายน แต่กลับขยับไปเป็นกลางเดือนนี้แทน เพราะตำแหน่งที่ยังไม่ลงตัวภายในพรรคที่ผู้นำเผด็จการจะไปนั่งเป็นหัวหน้าพรรคเต็มตัวในเร็ว ๆ นี้นี่เอง และเป็นการพลิกลิ้นกันในวินาทีสุดท้าย ชนิดคนที่ถูกเบี้ยวเรื่องตำแหน่งถึงกับอึ้งกิมกี่ ก่อนจะตามมาด้วยอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันเลยทีเดียว
คนที่ถึงกับจุกไปไม่เป็นเพราะได้รับการปฏิเสธเก้าอี้จากคนที่ตกปากรับคำกันไว้แล้วก่อนหน้าคงหนีไม่พ้น สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากเดิมถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีพลังงาน แต่การเจอกับบิ๊กตู่เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา เจ้าตัวได้ยินเต็มสองหูเมื่อท่านผู้นำถามว่ารู้หรือยังอยู่กระทรวงไหน พอบอกตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า กลับถูกสวนกลับมาทันทีว่าไม่ใช่ กลายเป็นแกนนำกลุ่มสามมิตรต้องไปคุมกระทรวงอุตสาหกรรมแทน
กลายเป็นว่าเก้าอี้รัฐมนตรีพลังงานตกเป็นของ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ หน้าตาเฉย งานนี้คงไม่ต้องบอกว่ามาจากฝีมือใคร ไม่เพียงแค่ได้รับความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรงเท่านั้น สุริยะยังถูกปิดประตูใส่หน้าโครมใหญ่เมื่อท่านผู้นำบอกว่า ไม่ต้องสลับไปสลับมาแล้ว ไม่ต้องให้ใครโทรมาหาทั้ง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และ อุตตม สาวนายน “ไม่ต้องให้ใครโทรมาหาผมอีก“ เกมทุบโต๊ะแบบนี้ถือเป็นงานถนัด แต่จะปิดเกมสนิทหรือไม่ต้องรอดูหลังจากผู้นำเผด็จการกลับมาจากญี่ปุ่น
เพราะถ้าจับคำพูดจากสุริยะก็จะเห็นแรงกระเพื่อมที่จะตามมาได้เป็นอย่างดี พลเอกประยุทธ์คงไม่เข้าใจเรื่องการเมืองมากนึกอยากจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน วันนี้ตนขอไปสวดมนต์สงบสติอารมณ์ก่อน เพื่อที่จะได้คิดให้รอบคอบ แต่ส่วนตัวแล้ว “ผมคงออกจากการร่วมรัฐบาลและจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเลย ผมว่านาทีนี้ผมออกดีกว่า” ต้องดูว่าเป็นแค่คำขู่เพื่อให้เกิดการต่อรองหรือจะเป็นท่าทีที่เด็ดเดี่ยว เอาจริงกันแน่ ถ้าเป็นจริงก็หมายความรัฐบาลนี้ไม่น่าจะเดินต่อไปได้
อย่าลืมเป็นอันขาด ผลแห่งโผที่ถูกขยับเที่ยวนี้เท่ากับว่าแกนนำกลุ่มสามมิตร ถูกเขี่ยกระเด็นพ้นเส้นทางที่ต้องการทุกรายนอกจากสุริยะที่ถูกหักหน้าจนวินาทีสุดท้าย สมศักดิ์ เทพสุทิน อารมณ์ก็ไม่ต่างกันที่ถูกจับไปนั่งว่าการยุติธรรมแบบไม่เต็มใจ ขณะที่ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย ดูท่าจะเจ็บปวดกว่าใคร เพราะถึงกับไม่ได้เก้าอี้กันเลยทีเดียว แต่สิ่งที่เจ้าตัวสื่อสารออกมาประกอบกับคำขู่ของสุริยะก็น่าจะเห็นทิศทางของการต่อรองที่จะเกิดขึ้น
เนื่องจากมีการบอกว่า ถ้าแลกกับการที่ตัวเองไม่ได้เก้าอี้แล้วสุริยะได้เป็นรมว.พลังงานตามข้อตกลงเดิม ทุกอย่างก็จบไม่มีปัญหา แต่ดูท่าว่าจะจบยาก การที่ผู้นำเผด็จการหักดิบเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องของหน้าตารัฐบาลหรือต้นทุนของคนที่จะเป็นรัฐมนตรีมีปัญหา หากแต่เป็นเรื่องของการจัดวางคนที่ตัวเองไว้ใจไว้ในตำแหน่งที่สำคัญ ขณะเดียวกันก็มีพวกที่เป็นเจ้าของสื่อภายในพรรคสืบทอดอำนาจที่คอยชักใย สร้างความมั่นใจให้กับการตัดสินใจของท่านผู้นำว่าจะไม่เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรคอย่างแน่นอน
เหมือนที่อนุชาตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อย่าให้ความอดทนถึงที่สุด “ถ้าพวกท่านยังไม่หยุด ผมจะเปิดโต๊ะแถลงข่าวทุกวัน เพื่อนำข้อมูลมาให้ประชาชนและสื่อทั้งประเทศได้ทราบว่าเรามีผู้บริหารเป็นเจ้าของสื่อ แต่กลับมาทำร้ายคนในพรรคเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งในสังคมไทย” อัดกันโต้ง ๆ แบบนี้ก็รู้กันแล้วว่าใครเป็นใคร และเป็นที่แน่ชัดว่าในพรรคสืบทอดอำนาจนั้นก๊วนไหน ก๊กใดมีพลังต่อรองและผู้นำเผด็จการเกรงใจ ไว้วางใจมากที่สุด